ในคราบของผู้ดูแลงานพัฒนาบุคลากร-ผู้จัดการความเสี่ยง-ผู้ประสานงานคุณภาพ รพ., ผู้ประสานงานและประสานแผนเครือข่ายบริการสุขภาพระดับอำเภอ, พี่เลี้ยงเพื่อการพัฒนาคุณภาพเครือข่ายระดับจังหวัด คงเหมือนบุคคลอื่นๆ ที่ต้องทำหน้าที่เป็นลูกน้องหรือผู้ปฏิบัติ,หัวหน้างาน หรือวิทยากรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ปฏิบัติหน้าที่เป็น Facilitator เต็มตัวทั้งแบบทางการและไม่ทางการ และสำหรับฉันมักมีอีก 2 เรื่องที่ต้องทำเป็นประจำคือ ทำหน้าที่ พิธีกร และ ผู้จัดงาน ซึ่งมักจะถูกมอบหมายให้ทำอยู่เสมอทั้งที่ก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว พยายามที่จะสร้างทายาททั้ง 2 งาน เพราะจะมีทีมงานที่สมัครใจช่วยเหลือเป็นอย่างดี...แต่จนแล้วจนรอด เมื่อถึงงานใหญ่ๆ ของเราที่ไร ก็ต้องรับไปทุกที...
เคยสงสัย และเคยถามพี่ๆ ที่จริงใจหน่อยด้วยอยากทราบว่าเพราะอะไร (เพราะเรามักไม่รู้ตัวเองหรอก ว่าเวลานั้นเราเป็นอย่างไร..บางทีก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรดีเป็นพิเศษ..) พี่เขาตอบว่า “.........”...ไม่บอกหรอก เขิน.. แต่มาระยะหลังที่เรามองดูคนอื่นเขาเป็นพิธีกรกันโดยเฉพาะพิธีกรสมัครเล่นอย่างพวกเราคนทำงาน ที่มิใช่บรรดามืออาชีพแล้ว ก็จะเห็นความเป็นจริงบางอย่าง...ว่า บุคลิกภาพอันเกิดจากภายในนั้นสำคัญจริงๆ เพราะเมื่อวันก่อนไปร่วมงานการนำเสนอคุณภาพ ในฐานะผู้วิพากษ์และให้คะแนนการนำเสนอผลงานพัฒนาคุณภาพของหน่วยงานหนึ่ง ในงานมีพิธีกรหญิงและชายวัยประมาณ 30 เศษ เธอทั้ง 2 ก็ดูยิ้มแย้มเป็นส่วนใหญ่ พูเก่งทีเดียว แต่เมื่อใดที่ไม่ยิ้มดูจะน่ากลัวในแววตาพิกล ที่สำคัญก่อนเริ่มดำเนินการ เธอเปิดตัวด้วยการกล่าวกลอนต้อนรับ เนื้อหาพอจะรู้อยู่ว่าคัดลอกหรือดัดแปลงมา...ซึ่งไม่เป็นปัญหาแต่เล่นเอาฉันตกใจเลยทีเดียว...เสียงเธอดังและเครียดด้วยความตั้งใจเกินไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบแฮะ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแบบที่ฉันได้ย้อนไปเห็นคุณลักณะของพิธีกรที่ควรมีเป็นอย่างยิ่งอีกชุดหนึ่งคือ ความสุขในใจ ความรักในผู้คนที่อยู่รอบข้าง ความเป็นหนึ่งเดียวกับคนฟัง ซึ่งล้วนต้องสั่งสมมาจากชีวิตจริง
ถ้ามีคนถามฉันว่า เป็นพิธีกรต้องเตรียมตัวอย่างไร?ฉันก็ขอตอบตามที่เป็นมานานหลายปี ก็คือ
ก่อนวันงาน
• ศึกษาวัตถุประสงค์ของงานนี้ให้ดีที่สุด ถ้างานนั้นจัดเอง ก็รู้อยู่แล้ว..เพราะการเป็นพิธีกรในแต่ละกาละ-เทศะ ไม่เหมือนกัน ซึ่งต้องเตรียมพร้อมในทุกๆด้าน ตั้งแต่ข้อมูลของงาน แขกที่จะมาในงาน ภาษาที่จะใช้ให้สอดคล้อง การแต่งกายที่เหมาะสมที่สุด บางทีดูแม้กระทั่ง สีห้องประชุม หรือผ้าที่เขาใช้กับโต๊ะด้านหน้าเวที... ทั้งนี้รวมถึงการหาหนังสือหรือความรู้ด้านต่างๆอันเกี่ยวกับการเป็นวิทยากร,พิธีกร-ผู้ดำเนินรายการ แบบมืออาชีพเอาไว้อ่านบ้าง เวลาที่ต้องจำใจรับงานด้วยความเกรงใจหรืออะไรก็แล้วแต่ จะได้มั่นใจ..ไม่เครียดเพราะไม่รู้เรื่องหลักการ
• ศึกษาสถานที่ (สำคัญมาก ๆ) งานยิ่งใหญ่ ก็ต้องไปสำรวจ ดูโพเดียม ดอกไม้ เพราะความสูงไม่ค่อยได้มาตรฐาน ถ้าโพเดียมสูงก็ต้องให้เขาจัดหาที่ยืนเพิ่มเติม ถ้าเป็นงานที่มีเวที ก็ต้องรู้ว่าเวทีเป็นอย่างไร สะดวกมากน้อยแค่ไหน...หลายๆครั้งที่ต้องให้คำแนะนำด้านสถานที่ไปกับผู้จัดงานหรือผู้ดูแลสถานที่ไปด้วยเลย...
• แสง-เสียงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะต้องใช้เพลงเป็นการจัดบรรยากาศทั้งก่อน-ขณะพูด และช่วงสุดท้าย ซึ่งต้องก่อให้เกิดความประทับใจ ถ้าเป็นงานใหญ่ก็จะจัดทีมช่วยดูแลเรื่องนี้โดยตรง ดังนั้นถ้าเป็นตามโรงแรม ก็จะประสานงานเรื่องนี้ก่อนแน่นอน... เพลงต่างๆ มักจะจัดเตรียมไปเอง เพื่อสร้างบรรยากาศให้เป็นไปตามที่ควรจะเป็นหรือตามวัตถุประสงค์ของงาน เช่นกิจกรรมที่ต้องการสร้างความรัก สามัคคี การร่วมแรงร่วมใจ..ปลุกใจ...ก็จะใช้เพลงที่เอื้อต่อวัตถุประสงค์
• ประสานงานกับทีมดำเนินงานหลัก อย่างชัดแจ้งให้มากที่สุด เพราะขณะที่เราทำหน้าที่เป็นพิธีกร ใครๆมักพุ่งมาหาเราเสมอ ถ้างานไหนมาขอให้เราช่วยแล้วไม่มีฝ่ายประชาสัมพันธ์หรือกองอำนวยการต่างหาก ตรงนี้เราต้องขอผู้ที่เราจะประสานงานด้วยอย่างน้อยที่สุด 2 คน เพื่อเป็นม้าเร็วในการประสานงานใกล้ๆ เวที และไม่ควรไปที่อื่นเพราะเราจะตามหาไม่ได้
• ถ้าเป็นไปได้จะไม่เป็นพิธีกรคนเดียวถ้างานนั้นเป็นงานใหญ่ และใช้เวลาค่อนข้างเยอะ หรือมีกิจกรรมหลายอย่าง จะหาทีม เพื่อส่งต่อ กระจายกันไปบ้างตามกิจกรรม หรือเพื่อมีลักษณะหลากหลาย ไม่ใช่แบบเราแบบเดียว หาคนที่พูดคุยประสานงานกันได้เป็นอย่างดี พูดเก่ง พูดดี..ภาษาไทยควบกล้ำชัด..ถ้ามีภาษาอังกฤษด้วยต้องออกเสียงได้ดีมากระดับหนึ่ง...
• ศึกษาพิธีการของงานที่ถูกต้องถ้ายอมรับเป็นพิธีกรในงานนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็นค่ะ ...กลัวคนติดภาพที่เราเป็นพิธีกรจนสุดท้าย จะต้องเป็นตลอดทุกงานเหมือนกับบางคนที่เคยเห็น หาใครไม่ได้ฉุกเฉินก็เป็นเรา ซึ่งข้อเสียจะมีถ้าเราไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย..แล้วปฏิเสธไม่ได้..
• เตรียมกายเตรียมใจให้แข็งแรง มีความสุขเหมือนเคย บุคลิกจะออกมาดี..คนเห็นก็มีความสุข
• เตรียมรายละเอียดของงาน ร่างส่วนสำคัญๆ พิมพ์เพื่อเป็นรายละเอียดกับทีมงานเพื่อทำงานประสานงานกันอย่างราบรื่นตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจนถึงจบงาน
วันงาน
• ต้องไปก่อนเวลาประมาณ 1 ช.ม. เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยและข้อมูล ซึ่งถ้าไม่ใช่งานที่เราจัดเองโดยตรงมักมีปัญหา เรื่องข้อมูล เครื่องเสียงต่างๆ มักยังไม่พร้อม ต้องตรวจสอบเองด้วยไม่ไว้ใจพนักงานหรือทีมงานอย่างเดียว..(มีปัญหาขึ้นมาเราเป็นคนรับหน้า)
• ทักทายกับผู้ร่วมงาน ด้วยการเปิดตัวที่ดึงดูดใจและประทับใจพอสมควร (เรียกความสนใจ อาจใช้เพลงหรือดนตรี ที่คัดเลือกมาอย่างดี หรือ กลอนที่แต่งมาโดยเฉพาะ ) ซึ่งถ้าเขาประทับใจในเริ่มต้น เขาจะฟังเราพูด ต่อๆ ไป การทำหน้าที่ของเราต้องทำด้วยความรัก จริงใจ..เป็นกันเอง (ระดับหนึ่ง:เนื่องจากบางงานเป็นกันเองมากไม่ได้)..ส่งความรักให้กับพวกเขาทั้งทางสายตา วาจาและคำพูด พร้อมเมตตาจิต แล้วความเครียดจะหายไป จะเป็นความสุขที่ได้ยืนอยู่ตรงนี้และพร้อมที่จะพูดคุยหรืออำนวยความสะดวกของงานนี้ให้ราบรื่นและเต็มไปด้วยความสุข ด้วยบรรยากาศที่เรามีส่วนร่วมสร้างด้วยกัน
• ประสานงานกับผู้ใหญ่ของงานโดยตรงกรณีที่จะต้องมีพิธีการเปิดงานต่างๆ แต่ช่วงแรกต้องให้ท่านพักก่อนสักเล็กน้อย บอกรายละเอียดท่านให้มากที่สุด (เคยเจอปัญหาที่คิดว่าท่านรู้แต่ท่านไม่รู้ เพราะแต่ละงานมีเนื้องานแตกต่างกัน)
• เตรียมบรรยากาศเพื่อประธานหรือผู้ใหญ่ (ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับท่าน) ด้วยเช่นกัน ให้ขั้นตอนที่เกี่ยวกับท่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ดูดี และดูว่าสำคัญ จนจบกระบวนการ ทั้งการพูดของเรา และทีมงานที่ต้องช่วยกัน ซึ่งกรณีนี้รวมถึงงานที่มีวิทยากรด้วย
• ไม่ทำให้เกิดช่องว่างของบรรยากาศที่ดี มีส่วนร่วม...ดนตรีและการพูดเป็นสิ่งสำคัญเช่นช่วงของการเดินขึ้นเวทีของบุคคลต่างๆ ..หรือช่วงที่มีอุปสรรคติดขัด ซึ่งต้องใช้ไหวพริบ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เช่นจากรอ เป็นสนุกคึกคัก..คุยกัน..ฯลฯ แล้วแต่สถานการณ์ที่จะเอื้ออำนวย หรือพอจะมีใครเป็นตัวชูโรงได้บ้าง ที่สำคัญต้องคอยสังเกต ปฏิกิริยาหรือ เงี่ยหูฟังเสียง แววตา หรือกิริยาที่เป็นสิ่งสะท้อนของผู้ร่วมงาน
• ปิดฉากได้น่าประทับใจในส่วนของพิธีกร ซึ่งไม่ใช่กล่าวปิดงาน แต่เป็นการกล่าวอำลาทุกคน ขอบคุณทุกรายละเอียดและสร้างบรรยากาศด้วยเพลงขณะที่ทุกคนแยกย้ายกลับ ที่น่าประทับใจ
หลังเลิกงาน
ทบทวนรายละเอียดถึงข้อดีและปัญหาอุปสรรค พิมพ์เก็บไว้ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการจัดงานหรือการที่ต้องเป็นผู้ดำเนินงาน หรือพิธีกรในครั้งต่อไป ซึ่งแม้แต่รายละเอียดของงานก็จะเก็บไว้ด้วยเพื่อการจัดงานครั้งต่อไปสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หมด ...
เหล่านี้ก็เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆของคนทำงานเล็กๆ ถ้าท่านใดมีประสบการณ์อยากแนะนำผู้บันทึกก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ..แต่ถ้าจะเป็นประโยชน์กับท่านใดในกรณีที่เป็นคนทำงานและต้องรับหน้าที่แบบนี้หมือนกันด้วยความจำเป็น..ก็ยินดีเช่นกันนะคะ
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณขจิต
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
ขอบคุณค่ะคุณ...แผ่นดิน...สำหรับกำลังใจจากกัลยาณมิตร...ที่ไม่มีวันหมด...และขอให้สายใยแห่งกำลังใจนี้เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่มั่นคง...พร้อมถ่ายทอดไปยังผู้คนได้ไม่มีวันจบสิ้น...นะคะ...ร่วมเป็นกำลังใจให้เครือข่ายที่ดีงามด้วยจิตวิญญาณแห่งรักแบบนี้ด้วยคนค่ะ...
สวัสดีค่ะ อาจารย์แหวว
สวัสดีค่ะ pa_dang
สวัสดีค่ะ คุณแหวว
ตามอ่านบันทึกนี้มาสามรอบแล้วค่ะ เพิ่งได้จังหวะล็อกอินเข้ามา คุณแหววเขียนได้เข้าซึ้งถึงใจพิธีกรจริงๆ
ดิฉันเคยคิดว่าถ้าเราไม่รับงานพิธีกรงานแรก เราก็คงไม่ต้องนั่งอกสั่นหวั่นไหวมาจนทุกวันนี้ แต่เมื่อเขามาขอช่วย เราก็ต้องทำ ทำแล้วก็แบบว่าอกสั่นหวั่นไหวกันไปจนเสร็จงาน
เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พิธีกร(ต้องยอมรับ)ผิด(แต่โดยดีเสมอ)
และชอบตรงนี้ที่สุดเลยค่ะคุณแหวว ช่างละเอียดรอบคอบสมกับเป็นผู้ประสานสิบทิศจริงๆ
"หลังเลิกงาน
ทบทวนรายละเอียดถึงข้อดีและปัญหาอุปสรรค พิมพ์เก็บไว้ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการจัดงานหรือการที่ต้องเป็นผู้ดำเนินงาน หรือพิธีกรในครั้งต่อไป ซึ่งแม้แต่รายละเอียดของงานก็จะเก็บไว้ด้วยเพื่อการจัดงานครั้งต่อไปสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หมด ..."
โอ้ดิฉันชอบมากที่สุด ความฝันของดิฉันคือฝึกลูกศิษย์ให้มีคุณสมบัติอย่างนี้ และก็ยังคงเป็นความฝันต่อไป.... : )
กลางเดือนนี้ดิฉันต้องอบรมการเป็นพิธีกรให้เด็กๆตามโครงการคณะค่ะคุณแหวว น้องเขาไม่ให้ปฏิเสธใดๆ ดิฉันกำลังกลุ้มใจน่าดู พอดีมาเจอบันทึกคุณแหวว ดิฉันเลยดีใจชะมัด เพราะคุณแหววเขียนสรุปประสบการณ์ไว้ชัดเจนแจ่มแจ๋วดีมากเลย ดิฉันเลยเข้ามาเรียนขออนุญาตขอนำไปอ้างอิงสรุปให้เด็กฟังตามนี้สักนิดเถิดนะคะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าอย่างสูงเลยค่ะคุณแหวว อบรมแล้วออกหัวออกก้อยอย่างไร จะตรงรี่มาเล่าให้ฟังเลยนะคะ : )
สวัสดีค่ะคุณ ดอกไม้ทะเล