เมื่อวานนี้ผมได้ไปทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับหลักสูตร นักบริหารแรงงาน ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีผู้เข้าฟังทั้งสิ้น 40 ท่าน ส่วนใหญ่เป็นนักบริหารแรงงานที่ประจำอยู่ในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ ผมได้พยายามเน้นให้เห็นว่าความรู้ที่มีอยู่ในตัวนักบริหารแรงงานแต่ละท่านนั้น เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ถ้าสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันแล้วล่ะก็ จะทำให้ผู้บริหารทั้งหลายได้เรียนรู้เพิ่มพูนศักยภาพขึ้นอย่างมากมายภายในเวลาอันสั้น ได้ความรู้ที่นำมาสู่การแก้ปัญหา หรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล
แต่แล้วช่วงระหว่างเวลาพัก ผมก็เริ่มได้ยินหลายคนพูด (บ่น) ว่าเรื่องทำนองนี้คงไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในหน่วยงานของเขา ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านอาจารย์วิจารณ์ จึงมักเตือนผมอยู่เสมอ (ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม) ว่าไม่น่าจะรับบรรยายหรือรับเป็นวิทยากร เพราะจากประสบการณ์ของท่าน ท่านคิดว่าการบรรยายส่วนใหญ่ไม่สามารถขับเคลื่อนเรื่อง KM นี้ได้ ตัวผมเองค่อนข้างเชื่อเรื่องพลังของใจ ผมคิดว่าจะด้วยประการใดก็ตาม ถ้าทำให้คน ฉุกคิด ขึ้นมาได้ มีใจ ต้องการจะทำ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็จะสามารถทำสิ่งๆนั้นได้ ผมมองการบรรยายว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่จะจุดประกาย สร้างพลังใจ ทำให้เกิดฉันทะ สร้างพละกำลังให้กล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ
เสียงสะท้อนที่ได้รับมาในวันนี้ . . . ทำให้ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการ หรือวิธีการสื่อสารเสียใหม่ บางทีการบรรยายอาจจะไม่ได้ผลดังที่ท่านอาจารย์วิจารณ์เตือนไว้ก็ได้ . . . ใครมีอะไรจะแนะนำ เชิญเลยครับ . . .
เนื่องจากประสบการ์ณดื้อของตัวเอง ได้เจอคำพูดตรงๆ แทงใจ อย่างโอโช แล้วลองเปลี่ยนชีวิตใหม่ สนุกได้เลยล่ะค่ะชีวิต พลังที่จะคิดพลังที่จะทำมาเองค่ะ มีทั้งหัวเราะและน้ำตา ไม่มีอะไรตายซาก และซ้ำซากค่ะ
อาจารย์ครับบ บรรยายไม่ได้ผลจริงครับ
แต่ได้ "คนอยากเห็นผลดีเกิดขึ้นจริงๆครับ"
จะมี 1 ใน 100 ครับ แต่พอเจอกลายเป็นพลัง หรือ หน่ออ่อน ได้ครับ
ผมก็เบื่อบรรยาย ชอบทำ project กับนักศึกษาที่อยากทำมากกว่า
แต่พอบรรยายน้อยลง ก็อาจเสียโอกาสครับ
เป็นเหรียญสองด้านครับ
ขอบพระคุณท่าอาจารย์มากครับสำหรับข้อคิดอันมีคุณค่าทุกข้อ