หลังจากเครียดมาระยะหนึ่ง พอมีโอกาสเลยแอบลาพักร้อน และโดดเรียน ไปเปิดหูเปิดตาที่เวียดนามใต้ เมืองไซ่ง่อน หรือเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ ในปัจจุบันนี่เอง ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ลุงโฮ ผู้บทบาทสำคัญต่อการเรียกร้องเอกราชกลับคืนให้แก่เวียดนาม เลยมีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้ฟังตั้งเยอะแยะ แต่เลือกเอาเฉพาะที่ประทับมาเล่าสู่กันฟัง แล้วกันนะค่ะ ไปคราวนี้มี คุณฝน ไกด์สาวสวยชาวเวียดนาม ตั้ง 95 % แต่พูดไทยชัดมาก ๆ เพราะอีก 5 % ที่เหลือเป็นเชื้อสายไทยเมืองมุกดาหารนั่นเอง
สิ่งแรกที่ได้เห็นนับแต่ถึง ไซ่ง่อน บนถนนคับคั่งไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์ เพราะผู้คนส่วนใหญ่นิยมใช้มอเตอร์ไซด์นับเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเมืองจีน ละมั่งค่ะ เพราะเยอะจริง ๆ แถมราคายังแพงมหาศาล รุ่นฮิตนิยมสุด หรูหราสุด ต้องเป็น ฮอนด้าดรีม สีม่วง ด้วยนะค่ะ ราคาก็ไม่มากมายคิดเป็นเงินบาทไทยประมาณสัก 7 หมื่นได้ แพงมาก ๆ เขาบอกว่าเวลาไปขอสาวแต่งงานแค่มีบ้าน กะ รถมอเตอร์ไซด์ ก็พอแล้ว สิ่งที่เป็นที่เลื่องลือต่อมาคือในเมืองไซ่ง่อนจะมีสวนสาธารณอยู่เป็นระยะ เพราะจะได้ร่มรื่นและช่วยดูดควันพิษ และสิ่งที่เราจะเห็นจนเป็นเรื่องธรรมดา คือ อะไรเอ่ยมีตัวเดียว 2 หัว ? ฮะฮ่า ไม่มีคำเฉลย นะค่ะ หนุ่มสาวรักกันมันเรื่องธรรมชาติ ....
ระหว่างเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ไกด์สาวสวยก็เล่าเรื่องราวเยอะแยะไปหมด หลับมั่งฟังมั่ง ทำให้ได้รู้เรื่องบ้านเมืองเขาตั้งเยอะ และที่เพิ่งรู้จริงจริ๊ง คือ น้ำปลามีต้นกำเนิดจากเวียดนามนี่เอง คุณฝนเล่าว่า เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้หลงรักสาวเวียดนามนางหนึ่งสวยมาก ชื่อ นางเลิ้ง แล้วนำชื่อนางมาตั้งเป็น ถนนนางเลิ้ง ไงค่ะ(นี่คือสิ่งที่ชาวเวียดนามเล่าค่ะ ข้อมูลไม่ค่อยตรงกับคนไทย) นางได้นำน้ำปลามาด้วย และเราก็ใช้กันมาจนถึงปัจจุบันไงค่ะ แถมพัฒนาปรับปรุงรสชาติ จนเวียดนามเองก็ชอบและนิยมน้ำปลาที่ผลิตจากไทยมากเสียด้วย
แล้วคุณทราบไหมค่ะว่าทำไม เราถึงเรียกชาวเวียดนาม ว่า ยวน ? สงสัยเหมือนกันค่ะ เขาบอกว่า คนเวียด ส่วนใหญ่จะเป็น สกุลเหงียน ซึ่งเขียนด้วยภาษาเวียดนามดั้งเดิม (คล้ายภาษาจีน) ถ้าอ่านแบบจีนจะออกเสียงเป็น หยวน พอมาถึงเมืองไทย เลยเพี้ยน ๆ เป็น ยวน อ้อ !!! อย่างนี้นี่เอง
มองดูบ้านเมืองเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามถือว่าเป็นผู้บอบช้ำทางสงคราม เขาว่ากันว่า Boom ที่ถูกทิ้งในสงครามเวียดนาม ประมาณ 7 ล้านลูก ซึ่งเปรียบเทียบกับที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองทั่วโลกยังแค่ 2 ล้านลูก ได้ไปเห็นร่องรอยแห่งความเจ็บซ้ำ จนรู้สึกว่าโชคดีหนักหนา ที่ได้เกิดบนแผ่นดินไทย ขนาดผ่านศึกหนักจนแทบไม่เหลืออะไรเลยมาได้ขนาดนี้ ยังสามารถตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มจะแซงหน้าเราไปด้วยซ้ำ หรือเพราะว่า ประวัติศาสตร์อันเลวร้ายมันสอนให้ต้องสู้และอดทน แล้วอย่างนี้เราจะมัวทะเลาะกันให้เขาแซงหน้าไปหรืออย่างไร ?
- ต้องขอบคุณเพื่อนมากที่ได้มาเล่าประสบการณ์ต่างๆจากการไปท่องเที่ยวครั้งนี้ ทำให้นึกถึงเมื่อสมัยที่เรียน ป.โท สาขาสังคมศึกษาที่ได้ดูวิถีชีวิตของชาวเวียดนาม และประเทศอื่นๆ สภาพที่เห็นยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงซักเท่าไร (เหมือนประเทศไทยเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว) แต่ที่แน่ๆในทางเศรษฐกิจปัจจุบันนั้นเวียดนามได้เป็นคู่แข่งเรื่องการส่งออกข้าว นะ