นิทานส้วนพะลอดับ เบรคที่ 1 คำเตือนสติของผู้เขียน


บางคนเรียนสำเร็จสูงๆ แต่ยังไม่เข้าใจคำผวนเสียเลยก็มี หากจะเขียนเรื่องที่ไม่ตลกขบขัน เป็นคำผวนขึ้นมาก็ไม่มีใครสนใจอ่าน

     หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประเภทดาบสองคม คือมีทั้งคุณและโทษ จึงเตือนท่านผู้อ่านให้ยึดหลักธรรม 2 ข้อคือ
๑. กาลญญุตา คือ รู้จักกาลเวลา รู้จักกาละเทศะว่าเวลาใด ควรพูดคำเช่นไร
๒. ปุคคลญญุตา คือ การรู้จักบุคคคล ว่าคนเช่นไรควรพูดกับเขาอย่างไร ไม่ใช่พูดเสียเรื่อยจนเสียมารยาท

     หนังสือนั้นอ่านดีทุกเล่ม ทุกประเภท อ่านมากรู้มาก อ่านน้อยรู้น้อย ไม่อ่านเลยไม่รู้เลย แต่ถ้าอ่านแล้วเชื่อตามหนังสือทุกอย่าง โปรดระวังท่านจะเสียคน แต่ถ้าอ่านแล้วไม่เชื่อเลย ก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยจากการอ่าน ทางที่ถูกเราต้องอาศัยเหตุผลในการตัดสินใจ เชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านอ่านหนังสือนิทานส้วนพะลอดับนี้แล้ว ให้ท่านคิดไปทางวรรณคดี ดูหลักการแต่งกลอน หลักการประพันธ์ สัมผัสบทกลอนดีหรือไม่ดี ดำเนินเรื่องดีหรือไม่ อย่างนี้ท่านจะได้ประโยชน์จากหนังสือ แต่ถ้าอ่านแล้วปล่อยอารมณ์ไปตามเรื่องของหนังสือ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ก็จะเป็นผลเสีย แก่ท่านผู้อ่านและท่านผู้อื่น ข้าพเจ้าได้เขียนหนังสือเรื่องนี้ขึ้น เพื่อหวังผลทางวรรณคดี หวังให้ผู้อ่านเข้าใจในคำผวน เพราะคำผวนนี้มีอยู่ในหลักภาษาไทยแขนงหนึ่ง แต่ยังมีคนรู้น้อย เข้าใจน้อย บางคนเรียนสำเร็จสูงๆ แต่ยังไม่เข้าใจคำผวนเสียเลยก็มี หากจะเขียนเรื่องที่ไม่ตลกขบขัน เป็นคำผวนขึ้นมาก็ไม่มีใครสนใจอ่าน สำหรับบางท่านคำผวนนี้อ่านแล้วจะไม่รู้เรื่องเลย และเรื่องที่เขียนนี้ก็ได้เลียนแบบสรรพลีห้วน ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่ของเมืองนครศรีธรรมราช เขายืนยันว่าคนแต่งเป็นชาวนครศรีฯ แน่นอน แต่ไม่มีชื่อผู้แต่งไว้ ซึ่งแต่งได้ดีมาก ถ้าเปรียบกับเหล้าคือ เหล้าที่ไม่ผสมโซดาเลย แต่ส้วนพะลอดับ สรรพพะลอด้วน ที่ข้าพเจ้าแต่งเลียนแบบนี้ ถ้าเปรียบกับเหล้าก็คือเหล้าที่ผสมโซดาจืดมากไป มีความสนุกน้อยกว่า สรรพลีห้วน แต่ได้แทรกหลักวิชาไว้หลายแขนง ส่วนหนังสือสรรพลี้หวน ก็ได้นำมาพิมพ์ไว้ท้ายเล่มของหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ลองอ่านเปรียบเทียบ กันดูสนุกๆ แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนก็กลัวจะเป็นผลร้ายแก่ท่าน ผู้อ่านบางคนที่ทนต่ออารมณ์ฝ่ายต่ำไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้เขียนบทความเรื่อง พิจารณาสังขารคำกลอน โดยยกเอาเรื่องนาสิริมา ซึ่งเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดสมัยพระพุทธเจ้ามาเป็นเค้าเรื่องของบทกลอนพิจารณาสังขาร เพื่อเป็นเบรคใจ และให้พิจารณารูปที่ได้นำมาพิมพ์ไว้หน้าบทความนี้ เพื่อเป็นการพิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นอนิจจังชัดเจนขึ้น จะเป็นเบรคหรือห้ามล้อสำหรับผู้อ่าน และได้เขียนให้สัมพันธ์กับเรื่องที่เป็นหลักวิชาการไว้หลายตอน เพื่อท่านผู้อ่านจะได้มีประโยชน์จากการอ่านหนังสือนี้บ้างพอสมควร มีรสชาติหลายเรื่อง
     หนังสือนี้ เขียนโดยใช้คำถิ่นภาคใต้ของประเทศไทย คนภาคอื่นอาจจะไม่เข้าใจ ผู้เขียนก็ต้องขออภัยด้วย ที่ใช้คำถิ่นใต้มาเขียน เพราะหนังสือนี้จะเขียนคำกลางไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ดีพอ และผู้เขียนมุ่งให้เป็นวรรณคดีภาคใต้ โปรดอ่านแล้วได้เข้าใจเจตนาของผู้เขียนด้วย

     นิทานส้วนพะลอดับเล่มนี้เขียนมาเพื่อส่งเสริมวรรณคดีคำผวน และชี้ให้เห็นศิลปะของภาษาไทยที่สามารถผวนคำบางคำ ที่ไม่สามารถพูดในสังคมได้ ให้พูดกันได้แม้จะไปน้ำขุ่นๆ ยังดีกว่าพูดคำตรงๆ ออกมาจริงไม่ครับ
     อ่านหนังสือนี้ ใครผวนได้มากก็สนุกมาก ใครผวนได้น้อยก็สนุกน้อย ใครผวนไม่ได้เลยก็ไม่สนุกเลย เพราะมันมีคำผวนอยู่ตลอดเล่ม ตลอดเรื่อง ต้องอ่านไปผวนไปจึงจะรู้เรื่องดี
     คติของผู้เขียนหนังสือนี้ โปรดท่านผู้อ่านอ่านจำไว้ใช้ประจำ ได้ผลดีจริงๆ หากทำได้ โรคประสาทไม่เป็นเด็ดขาด
"ตลกขบขันวันละนิดจิตผ่องใส"
"ความเคร่งเครียดที่เก็บไว้ในใจ เป็นศรัตรูหมายเลข ๑ ของสุขภาพ และเป็นต้นเหตุให้เป็นโรคอื่นๆ ได้หลายโรค"

จมผาก
นุนเบิดลาย

 

ที่มา : หนังสือภาษาศิลป์ ของ นุนเบิดลาย หน้า ๑-๓ 

หมายเลขบันทึก: 112601เขียนเมื่อ 18 กรกฎาคม 2007 20:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 22:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีค่ะ คุณโสทร

นี้คุณพิมพ์จากหนังสือเลยรึ ...

แสดงว่าฝีมือการพิมพ์ดีด ใช้ได้เลยนะคะ

      

ซูฮกค่ะ ซูฮก ในความพยายาม

เป็นกำลังใจให้นะคะ

สวัสดีครับคุณปู poo

  • นี่แหละครับที่ทำให้ผมตาลาย ที่อ่านเป็นว่าคุณปูเกิด 1943
  • ขอบคุณครับสำหรับกำลังใจ 

สวัสดีครับโส

ผมดูๆ แล้ว ผมว่า คุณนุนเบิดลาย น่าจะได้เป็นปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยการผวนคำนะครับ

ดังนั้นผมขอ ให้เลยครับ ศาสตราจารย์ นุนเบิดลาย

เพราะว่ามีการผสมในเรื่องการบูรณาการภาษาไทยและการรักษาโรคได้ด้วยครับ

จริงๆ แล้วโรคร้ายๆ ในปัจจุบัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องรักษากันที่กายอย่างเดียว ผมว่าการรักษาโรคที่แท้จริง ต้องรักษากันที่ใจ

ผมเชื่อว่า เมื่อใจแข็งแรง กายที่อ่อนแอก็จะแข็งแรงตามใจ.... เมื่อใจแข็งแรงดีแล้วกายจะหายป่วยไปเอง

หากการรักษาโรคที่โรงพยาบาลของเรา มีการวางแผนเรื่องการรักษาใจของผู้ป่วยก่อนแล้วนั้น โรคทางกายเหล่านั้นจะกลับหายตายจากไปเอง

เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยตัวคุณเอง... ตามหลัก ใจเข้มแข็ง กายก็จะเข้มแข็ง มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายที่ใจเข้มแข็ง แล้วโรคร้ายหายไปครับ

ผู้ใดจะลองเอาไปทำวิจัยก็ดูได้ครับ รพ.ไหนสนใจก็ลองดูนะครับ ผมเชื่อว่าจะเป็นแนวทางหนึ่งเหมือนกัน

ดังหนังสือที่คุณ ศ.นุนเบิดลาย ได้กล่าวไว้ครับ และท่านเองก็ได้หายและมีอาการดีขึ้นได้ก็เพราะใจดี มีอารมณ์ขัน หัวเราะได้ โรคร้ายก็หายเกลี้ยงครับ

ขอบคุณมากครับ นำมาเผยแพร่เพื่อให้คนยิ้มในบทความผ่านทางการอ่านและคิดในระบบ จะทำให้ใจยิ้มภายในแล้วส่งผลให้สมองสั่งให้ปากมีรอยยิ้มตามมาครับ

เมื่อเกิดการหัวเราะเกิดขึ้น ระบบอื่นๆ จะทำงานตามระบบ ร่วมกัน เกี่ยวพันกัน ส่วนไหนที่ไม่เคยบริหารก็จะถูกกระตุ้น จะเกี่ยวโยงเป็นเครือข่ายของอวัยวะที่ทำเราให้เป็นคน  ..... เริ่มกัน ก็เริ่มกันที่ใจ....

ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท