มงคลชัย วิริยะพินิจ บอกว่าการนับถือพุทธศาสนาทำให้คนไทยมีลักษณะ
• ไม่กล้าตัดสินใจว่าอะไรถูก อะไรผิด และเชื่อในพรหมลิขิต
• ชอบทำกิจกรรมกลุ่มที่วัด
แน่นอนที่สุด ลักษณะของคนไทยถูกหล่อหลอมโดยศาสนาพุทธแบบไทยๆ อยู่มาก และความเชื่อ ความศรัทธา การตีความ การใช้พลังของ “ภาษาพระ” มีประโยชน์ต่อการดำเนินกิจกรรม KM อย่างแน่นอน
ผมมองว่าศาสนาพุทธ ได้สร้างลักษณะของคนไทยที่มีความซับซ้อนมากในด้าน ศรัทธา ความเชื่อ อารมณ์ ซับซ้อนกว่าในบทความของมงคลชัยอย่างมากมาย พลังของพุทธศาสนาสามารถนำมาใช้ในการดำเนินการกิจกรรม KM ได้ดังต่อไปนี้
• ใช้ในการตีความสภาวะ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อหาหลักการ (explicit knowledge) มาอธิบาย เช่น อิทธิบาท 4, สังคหวัตถุ 4, สัปปุริสธรรม 6, เป็นต้น พอเราอธิบายให้คนไทยฟังโดยอ้างคำเหล่านี้ ก็จะเข้าใจได้ง่าย หรือเมื่ออธิบายลึกลงไปในรายละเอียดของหลักธรรมเหล่านี้ ผู้ฟังจะรู้สึกพอใจ มีความสุข เป็นมงคล
• ศาสนาทุกศาสนามุ่งให้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทุกศาสนามุ่งใช้กระบวนการกลุ่ม หรือพลังกลุ่ม ด้วยกันทั้งสิ้น รวมทั้งศาสนาพุทธ กระบวนการกลุ่มของทางศาสนาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ หรือเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้ ในกิจกรรม KM ได้ เช่น ในวัดพระจะอยู่ร่วมกันเป็น “สังฆะ” คือหมู่พระสงฆ์ มีกฎเกณฑ์กติกาในการอยู่ร่วมกัน และเรียนรู้ร่วมกัน มีการนำเอาประสบการณ์การปฏิบัติมาแลกเปลี่ยนกัน
• ศาสนาพุทธเน้นการเรียนรู้ ด้วยองค์สาม คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ใช้ทั้ง 3 องค์ประกอบกัน ซึ่งตรงกับ KM ผมมองว่าทั้งศาสนาพุทธ และ KM ต่างก็ใช้วิธีการเรียนรู้ที่เป็นไปตามธรรมชาติ คือใช้การเรียนเชิงปฏิบัตินำ หนุนด้วยการเรียนเชิงทฤษฎี และชโลมใจด้วยผลที่เกิดขึ้น ที่สัมผัสได้ด้วยตนเอง สัมผัสได้ตลอดเวลา (ปฏิเวธ)
• พุทธศาสนาเน้นการเรียนรู้ที่เรียกว่า spiritual learning หรือจิตตปัญญาศึกษา KM จะเข้มแข็งมากหาก “คุณอำนวย” มีทักษะในการนำ พลังของจิตตปัญญา (contemplation) มาใช้ในกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
• การอ้างถ้อยคำของพระผู้ใหญ่ที่ผู้คนเคารพนับถือ (เช่น ท่านพุทธทาส พระพรหมคุณาภรณ์) หรือพุทธสุภาษิต ในสุนทรียสนทนา ช่วยสร้างบรรยากาศที่คนไทยรู้สึกว่าสุขเย็น สร้างอารมณ์ดี
ผมคงจะนึกและเขียนพลังของพุทธศาสนา ที่จะช่วยเพิ่มพลัง KM ได้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ผมจะหยุด เพื่อเชิญชวนให้ ท่านทั้งหลายช่วยกันเล่าเพิ่มเติม ออกมาจากประสบการณ์ตรงของท่าน
เชิญครับ
วิจารณ์ พานิช
27 ก.ค. 50
เรียนท่านอาจารย์ค่ะ
จากประสบการณ์การทำงานมายาวนาน ดิฉันใช้พลังของศาสนา มาเป็นหลักในการทำงานและพัฒนางานได้อย่างมากมายทั้งโดยส่วนตัว งานของบริษัท และของครอบครัว
ในครั้งนี้ ดิฉันนึกถึง
เห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ อยู่ในศีลในธรรม พากเพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ
ตั้งแต่เริ่มแรกของการตัดสินใจจะดำเนินกิจการอุตสาหกรรมอาหาร คณะกรรมการฯ ประชุมกันเขียนไว้ในวัตถุประสงค์เลยค่ะ (พวกเราเข้าวัดเดียวกันทั้งหมด เป็นชาววัดจนบัดนี้)
ว่าเราจะไม่ทำกิจการที่จะเป็นทางล่อแหลมเข้าไปในสิ่งที่ผิดศีลหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขโดยเด็ดขาด
ทุกเช้า ที่โรงงานจะมีการยืนพรอมกันทั้งโรงงาน เคารพธงชาติ มีพระมาเทศน์เดือนละครั้งด้วย
ต่อด้วยการประชุม 20 นาที กล่าวถึงผลการทำงานเมื่อวาน มีข้อบกพร่อง และจะต้องแก้ไขอย่างไรบ้าง เพื่อมิให้เกิดขึ้นอีก และเปิดโอกาสให้คนงาน สามารถเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับงานของเขาได้ มีข้อคิดเห็นดีๆที่เราได้รับจากเขาค่ะ งานมีการพัฒนาตลอดเวลา
ต่อจากนั้น เราจัดอบรมเขาทุกวันว่า เขาจะต้องมีความรับผิดชอบ มีสมาธิและสติในการทำงานอย่างไรบ้าง เรามีเป้าหมาย ให้อุบัติเหตุเป็น 0 ค่ะ
จริงๆก็มีอุบัติเหตแทบทุกเดือน เช่น มือถูก conveyor line หนีบ ถูกไอน้ำพ่นใส่บ้างเล็กน้อย ถูกภาชนะบรรจุบาดบ้าง ถูกหีบห่อในคลังสินค้าตกใส่บ้าง เป็นต้น เดือนไหนอุบัติเหตุเป็น 0 เราเลี้ยงอาหารกลางวันฉลองเลย
ที่โรงงานเปิดเพลงให้พนักงานฟัง ระหว่างทำงาน จะได้ไม่เครียด มีสมาธิ ผลงานจะได้ออกมาดี เป็นต้น
สรุปว่า เรามีการฝึกอบรมกันเป็นประจำ ทีละเล็กละน้อย โดยแทรกธรรมะเข้าไปในงานทุกวัน
ผลปรากฏว่า สินค้าเรามีคุณภาพดี เป็นที่เชื่อถือ ของลูกค้าทั่วโลก เราได้การรับรองISO และได้รางวัลจากทางราชการหลายครั้งค่ะ พนักงานก็มีความสุขที่อยู่กับเรา และพัฒนาฝีมือการทำงานยิ่งๆขึ้น
ทางบริษัททำการอบรมกันเอง เป็นวิทยากรเอง มาหลายปีมาก เพราะพนักงานคล่องกันมาก เป็นin house training มีห้องประชุมอย่างดี พวกพนักงานภูมิใจกันมาก
ขออนุญาตให้เครดิตพนักงานที่ส่วนใหญ่เป็น ชาวเมืองกาญจน์ ณ ที่นี้ ค่ะ พวกเขาฉลาดและหัวไวมากค่ะ ดิฉันภูมิใจพวกเขาจริงๆค่ะ
แม้แต่ลูกค้าชาวต่างประเทศที่มาอบรมการควบคุมคุณภาพให้เร ก็เอ่ยปากชมทุกคนว่า พนักงานเรา สอนง่าย และมีวินัยค่ะ
... |
||||
เรียน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ที่เคารพครับ
ผมต้องขออภัยล่วงหน้าครับ เพราะอาจไม่ใช่การเล่าต่ออย่างที่ท่านเชิญ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเรียนรู้ และผมเห็นด้วยกับ ท่าน
เรียน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ที่เคารพครับ
ผมต้องขออภัยล่วงหน้าครับ เพราะอาจไม่ใช่การเล่าต่ออย่างที่ท่านเชิญ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเรียนรู้ และผมเห็นด้วยกับ ท่าน
เรียน ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ที่เคารพครับ
ผมต้องขออภัยล่วงหน้าครับ เพราะอาจไม่ใช่การเล่าต่ออย่างที่ท่านเชิญ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเรียนรู้ และผมเห็นด้วยกับ ท่าน
สวัสดีค่ะอาจารย์ ได้อ่านบันทึกของอาจารย์ และข้อคิดของคุณพี่ศศินันท์เช้านี้ รู้สึกเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีค่ะ
ข้อสังเกตของคุณมงคลชัยอาจมองแค่ผู้นับถือศาสนาพุทธที่มุ่งสายศรัทธา มากกว่าสายปัญญา และยิ่งกระแสเครื่องลางตอนี้ก็คงทำให้ผู้ที่ไม่เคยศึกษาถึงแก่นของพุทธศาสนาเข้าใจผิดว่านี่คือลักษณะของคนที่นับถือพุทธจริงๆ
• ไม่กล้าตัดสินใจว่าอะไรถูก อะไรผิด
เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหลักการแก่นแท้ของพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
ประสบการณ์ด้วยตนเองในเรื่องการปฏิบัติธรรมและการใช้KM สอดคล้องและหนุนเนื่องกันมากอย่างที่อาจารย์อธิบายจริงๆค่ะ เช่นเรื่องของการเจริญสติ ที่ทำให้จิตไม่ปรุงแต่งตามอารมณ์ ได้ช่วยให้มี การฟังที่ลึกซึ้ง ฟังอย่างไม่ตัดสิน และไม่เกิดโทสะเมื่อพบคำพูดไม่ถูกใจ ทำให้ได้ยินสาระมาพิจารณา มีความละเอียดในการนำข้อมูลมาตัดสินใจ มองเห็นความเกี่ยวเนื่องของเรื่องราว คน และบริบทตามความเป็นจริง มองเห็นความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเป็นหลักของโยนิโสมนสิการ และไม่ยึดถือดึงดันว่าความคิดเห็นของตนเองถูกที่สุดด้วยเข้าใจเรื่องของอัตตา
ศาสนาพุทธเน้นการลงมือปฏิบัติ ดังนั้น ข้อที่ว่าเชื่อในพรหมลิขิต ยิ่งห่างไกลจากพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้ ข้อนี้แหละค่ะที่ตนเองได้ใช้กำกับในใจในการโต้แย้งในหลักวิชาการในสายวิชาการที่เรียนที่คนส่วนใหญ่(ฝรั่ง)ไม่ได้มองอย่างเรา แต่เมื่อตนเองคิดว่าสิ่งที่ได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ แม้เป็นมุมที่หลบซ่อนอยู่ หรือเป็นจุดเล็กๆที่ได้ค้นพบ ก็ไม่คิดว่าจะต้องไปเสนอตามกระแสหลัก แม้มีความมั่นใจ แต่ก็ทำด้วยสติ ไม่อวดดี คิดว่าตนดีกว่าคนอื่น ภาษาพระเรียกว่าไม่มี"มานะ"
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อยากมาร่วมเล่าที่แสดงว่าตนเองได้นำสองสิ่งมาใช้ในชีวิต ให้มีความสุขและความสำเร็จได้จริงๆค่ะ
ประสบการณ์ของคุณพี่ศศินันท์ยอดเยี่ยมมาก หากทุกษริษัทดูแลลูกน้องอย่างนี้ สังคมเราคงมีความสุข และเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งนะคะ