วันนี้ได้อ่านบทความของเพื่อนอาจารย์ชื่อ อ.สิขรินทร์ คงสง ซึ่งลงในหนังสือพิมพ์มติชน เกี่ยวกับวิกฤตค่าเงินบาท เป็นมุมมองที่น่าสนใจ จึงขอทะยอยลงแบบไม่ตัดทอนใดๆทั้งสิ้นดังนี้ค่ะ
ภายใต้สถานการณ์ “เงินบาทอ่อนค่า” ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรงทั้งขึ้นทั้งล่อง เพียงแต่ฝ่ายไหน (ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออก) จะเป็นผู้ประสบปัญหาเพราะพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเกินไป (ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด) ทำให้ไม่สามารถยืนหยัดอยู่บนลำแข้งของตนเองได้
พอเกิดปัญหาจาก
1. ความผันผวนของค่าเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ที่ประเทศไทยถือครองอยู่ เพื่อเป็นทุนสำรอง หรือใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2. การเคลื่อนย้ายเงินทุน (ไหลเข้าหรือไหลออก) ทั้งโดยทางตรงหรือการเก็งกำไร
3. การโจมตีค่าเงิน
“ต้องออกอาการทุรนทุราย” เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจไทย อ่อนไหวง่ายหรือยังไร้เสถียรภาพ
ดังนั้น จึงมีคำถามตามมาว่าจะมีวิธีการใดจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ยิ่งผัดวันประกันพรุ่ง ยิ่งไล่ตามคู่แข่งไม่ทัน แถมยังโดนคู่แข่งที่ตามมาทีหลังแซงขึ้นหน้า
สมควรแก่กาลเวลาแล้วหรือยัง กับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ”ไม้หลักปักขี้เลน” ที่ยังอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่...
1. พึ่งพาการส่งออก (หากินอยู่แต่ตลาดล่างที่มีการแข่งขันสูง) นับเป็นจุดเปราะบาง และน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภาคเกษตรที่มุ่งสร้างรายได้หลักให้กับประเทศ ส่วนภาคอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง แทบจะไม่ใช่ธุรกิจของคนไทย
2. พึ่งพาการนำเข้าสินค้าทุน รวมทั้งวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เพื่อนำไปผลิตสินค้าสำหรับการบริโภคภายในประเทศและส่งออก (ผลิตมากเท่าไหร่ ก็นำเข้าสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว)
3.การสร้างมูลค่าเพิ่มในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งได้กำไรเพียงแค่หยิบมือ จากการส่งออกเป็นสินค้าสำเร็จรูป
4. รับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ชื่อดังของโลก
5. การประกาศเชิญชวนประเทศที่เจริญแล้ว(นักลงทุน) เข้ามาลงทุนในประเทศ(ทั้งการตั้งฐานการผลิต และการเคลื่อนย้ายเงินทุน)
บทความนี้จะค่อยๆทะยอยลงค่ะ
หนทางแห่งความอยู่รอด (ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอารยประเทศ) มีเพียงสถานเดียว คือการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างองค์ความรู้ที่เป็นแบบฉบับของตน ประกอบด้วย
เจตนารมณ์ข้างต้นจะสำเร็จตั้งปณิธานที่วางไว้ ต้องรู้จักการทำงานเป็นขั้นเป็นตอนด้วยความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันปัญหาเตรียมความพร้อมทั้งแผนการรุกและตั้งรับ หรือพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืน โดยให้ภาคอุตสาหกรรม(ยึดหลักการพึ่งตนเอง) ขึ้นมามีบทบาทแทนที่ภาคเกษตร(ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่สร้างงานใหม่ให้แก่เกษตรกร) ที่มีบริษัทลูกหลายๆ บริษัท เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างๆป้อนบริษัทแม่ การประกอบธุรกิจแบบครบวงจรนี้จะสร้างผลกำไรให้กับกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในสายงาน(เครือข่าย) เดียวกันอย่างถ้วนหน้า
อาจารย์ลูกหว้าค่ะ
พอดีไปเจอบล็อก ความคิด ธุรกิจ กับชีวิตรอบตัว ของคุณวชิระชัย คูนำวัฒนา ซึ่งท่านเขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐศาสตร์ ก็เลยอยากมาแนะนำให้อาจารย์ลูกหว้าลองเข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดูคะ
บันทึกล่าสุดในบล็อก เศรษฐศาสตร์และการเงินข้างเสา – ตอนที่ 3 ตุ่มก้นรั่ว
ลองอ่านดูนะคะ
ฝากไว้ให้คิดครับ
คิดอย่างคนจน "วันนี้เราจะหาอะไรกิน"
คิดอย่างเศรษฐี "วันนี้เราจะกินอะไรดี"
พวกเราล่ะคิดอย่างไหน รู้จักคิด รู้จักสร้าง รู้จักทำ ไม่กระเหย่งก้าวกระโดด แต่เลือกที่จะเดินแบบธรรมดา เราจะอยู่ได้และไปเป็น อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทุกท่านคิดอย่างไรครับ ส่วนผมคิดอย่างนี้