หลายคนต่างพูดเสมอว่า" พยาบาลฉีดยาเก่งไม่ค่อยเจ็บ " เราเองคัน....ปากอยากบอกว่าความจริงว่า ไม่ใช่ทุกคนหรอกค่ะที่เก่ง เก่งเฉพาะคนที่มีทักษะและสนใจเรียนรู้พัฒนาเทคนิคของตนจากประสบการณ์ที่ตนปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จริงๆพวกเราก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นมืออาชีพได้หรอกเพราะเขาชมเราครึ่งทางแค่วิธีฉีดเท่านั้น ซึ่งเราไม่มีโอกาสติดตามผลหลังฉีดเพราะต่างกลับออกจากเราไปโดยเราไม่รู้ว่าหลังฉีดไม่เจ็บในครั้งนั้นกล้ามเนื้อหรือหลอดเลือดตรงนั้นเขียวช้ำเป็นไตเกิดอักเสบบ้างหรือไม่ในรายที่เป็นCASE OPD
ความจริงเรามีนักฉีดยามืออาชีพที่พวกเราพยายามปลุกปั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหวังชิงชัยในตนเองให้ลดระดับน้ำตาลที่สูง ดูเป็นการแข่งขันที่น่าสนับสนุนยิ่งเพราะมีแต่ให้คุณประโยชน์ล้วนๆถ้าทำดีมีแต่ได้ ก็ผู้เป็นเบาหวานของเราที่ฉีดอินซูลินไงคะ ซึ่งมีทั้งมือใหม่ มือเก่า และมืออาชีพ ตัวดิฉันขณะนี้ก็กำลังพยามยามฝึกฝนตนเองให้เป็นพี่เลี้ยงมืออาชีพอยู่ทุกวัน ปัญหาส่วนใหญ่มักอยู่ที่มือใหม่ ที่ยังฉีดไม่เข้าใจเทคนิค และมือเก่าที่ยังไม่เชี่ยวชาญเพียงพอจะเป็นมืออาชีพ
ระยะนี้ดิฉันพบมือเก่าหลายรายที่ตกหล่นเทคนิคเล็กๆน้อยๆ แต่มีผลทำให้BSสูงแพทย์ส่งมาทบทวนการฉีดยา พบว่าเป็นเรื่องเดินยาเร็ว ซึ่งเราจะค้นหาข้อผิดพลาดได้ด้วย 2 วิธีคือ
1. เราต้องให้ผู้เป็นเบาหวานฉีดยาให้ดูทุกครั้งที่FUโดยอาจจะให้ทดลองกับอุปกรณ์สอนฉีดยาหรือถ้ามีโอกาสเห็นตอนฉีดจริงจะยิ่งดี ให้สังเกตุทุกขั้นตอนของการฉีดด้วยตัวพี่เลี้ยงเอง
2.สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ต้องสำรวจผิวหนังบริเวณหน้าท้องที่ฉีด ถ้าปกติไม่มีรอยเขียว รอยนูนหมายถึงผลการฉีดประสบความสำเร็จอีกส่วน
แต่การจะบอกให้แก้ไขเราต้องทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจเหตุผลและประโยชน์ที่จะได้รับ การเปรียบเทียบโดยใช้ภาพในชีวิตประจำวันช่วยให้เข้าใจและจดจำได้ดีเสมอ ซึ่งดิฉันใช้วิธีการรดน้ำต้นไม้เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ถ้าเดินยาเร็วเหมือนเราเปิดน้ำแรง แรงน้ำจะกระแทกดินกระจายบางส่วนสะท้อนกลับมาทำให้เปียกตัวเราด้วย เปรียบเหมือนการเดินยาเร็วทำให้เกิดแรงดันมากไปกระแทกเนื้อเยื่อทำให้ชอกช้ำพอวันรุ่งขึ้นเื้อก็เขียวทิ้งไว้หลายก็กลายเป็นไตแข็ง แล้วถ้าฉีดยาไปโดนเนื้อที่เป็นไตแข็ง ยาก็จะดูดซึมไม่ดีมีแต่ให้โทษ ถ้าเปิดน้ำให้ไหลช้า น้ำจะค่อยๆซึมลงดินไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ยาก็จะดูดซึมเข้าไปทำหน้าที่ได้สมบูรณ์บนเนื้อเยื่อที่ปกติ
ยุวดี มหาชัยราชัน
ไม่มีความเห็น