วันนี้มีการเปลี่ยนแปลงตารางชีวิตนิดหน่อย แต่ก็ดูดีกว่าเก่า จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ผู้เขียนและครอบครัวของพี่สาวมักจะเดินทางไปหาดใหญ่ด้วยกันในวันเสาร์ เนื่องจากเราอาจจะต้องเดินทางไปซื้อของใช้ต่างๆ หรือมีกิจธุระกับพี่สาวอีกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยหลานๆ อีกครอบครัวหนึ่ง แต่ในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมานี้เราเปลี่ยนแปลงเวลาการเดินทางไปหาดใหญ่ในวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์แทน เพื่อเอื้อให้กับเจ้าหลานชายและหลานสาวที่เรียนอยู่ชั้น ป.4 และ ป.6 ได้ไปหาดใหญ่กับเราด้วย เพราะเจ้าสองคนนี้จะต้องไปเรียนพระพุทธศาสนาในวันเสาร์กับพระสงฆ์ที่วัดในหมู่บ้าน ดังนั้นทางครอบครัวเราจึงเอื้อให้เจ้าสองคนนี่ได้เรียนพระพุทธศาสนากันอย่างตั้งใจ แล้วในวันอาทิตย์จึงจะเดินทางไปหาดใหญ่กัน (แต่ก็ไม่ได้ไปกันทุกสัปดาห์หรอกนะคะ) เด็กๆ เลยมีความตั้งใจเต็มที่กับการเรียนพระพุทธศาสนาที่วัดในหมู่บ้าน แต่ในวันนี้พระอาจารย์ (ท่านเจ้าอาวาสที่วัด) ขอเปลี่ยนแปลงการเรียนเป็นจากวันเสาร์มาเป็นวันอาทิตย์แทน ซึ่งดูจะดีกว่าเก่าในเรื่องของการไปธุระกับร้านขายของต่างๆ ที่ส่วนใหญ่จะเปิดร้านรวงกันในวันเสาร์ และปิดในวันอาทิตย์ โดยปกติก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยมีโอกาสเห็นเด็กตัวกะเปี๊ยกๆ ไปวัดกันซักเท่าไหร่ นอกจากติดตามพ่อแม่ไปในงานวัดที่เป็นเทศกาลวันพระแล้วมีการเปิดร้านขายของซะมากกว่า เช่น วันทอดกฐิน วันทอดผ้าป่า เป็นต้น
แต่เมื่อทางโรงเรียนบ้านลำไพล (โรงเรียนระดับประถมศึกษา) เห็นความสำคัญในจุดนี้ จึงจัดทำโครงการให้เด็กๆ ไปเรียนพระพุทธศาสนาที่วัด โดยมีการร่วมมือกันใน 3 ฝ่าย คือ โรงเรียน วัด และผู้ปกครอง ให้ความร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และที่สุดแล้วผลดีและผลประโยชน์ต่างๆ จากการจัดโครงการนี้ก็จะตกเป็นตะกอนสู่ตัวเจ้าตัวกะเปี๊ยกทั้งหลาย ทางโรงเรียนจัดโครงการขึ้นและขออนุญาตให้ผู้ปกครองไป ส่ง-รับ เด็กๆ ในการไปเรียนพระพุทธศาสนาที่วัดในหมู่บ้าน โดยมีคุณครูที่ดำเนินการในโครงการไปดูแลเด็กๆ ตลอดจนเสร็จสิ้นการเรียนการสอน ทางวัดลำไพล นำโดยท่านเจ้าอาวาสก็จะทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนด้วยตนเอง หากวันไหนท่านเจ้าอาวาสติดกิจนิมนต์ ก็จะให้พระลูกวัดที่มีความรู้ความสามารถพอที่จะสอนเด็กๆ ให้สนุกพร้อมกับการเรียนธรรมะไปด้วยสอนแทน เท่าที่สังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ระหว่างไปรอรับเด็กๆ เห็นเด็กๆ สนุกกับการเรียนธรรมมะมากอยู่ มีทั้งสื่อ ICT ต่างๆ เอามาประกอบการสอน มีทั้งเพลงธรรมะที่ไม่น่าเบื่อแต่กลับน่าสนใจมาประกอบการเรียนการสอน (แอบโดนเจ้าตัวเล็กสุดของครอบครัว...บังคับให้มานั่งฟังเพลงธรรมะที่เค้าเรียนมาจากพระอาจารย์ที่วัด...ก็เลยต้องนั่งฟังด้วยความไพเราะอย่างเดียว....ฮาๆๆ) บางครั้ง....พระอาจารย์ก็มีของรางวัลมาดึงดูดความสนใจในการเรียน เช่นเวลาใครตอบถูกพระอาจารย์ก็มีแจกของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นกำลังใจแก่เด็กๆ (มีอยู่วันหนึ่งเจ้าตัวใหญ่เอาเหรียญจตุคามรามเทพมาโชว์ และบอกว่าวันนี้ลูกตอบถูก พระอาจารย์แจกจตุคามฯ เลย .....แน๊...เอากะพระอาจารย์สิ มีลูกล่อลูกชนให้เด็กๆ สนใจกันสุดฤทธิ์ ) ทางผู้ปกครองของเด็กๆ ก็มิได้รังเกียจ ต่างรู้สึกดีไปตามๆ กันที่ลูกหลานตนเองเข้าวัด ไปเรียนหนังสือ, เรียนธรรมะกับพระอาจารย์ที่วัดในหมู่บ้าน ครั้นถึงเวลาที่ไปรับ-ส่งบุตรหลานตน และไปเจอกันต่างก็คุยกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน กลายเป็นเพิ่มโอกาสแห่งความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้านอีกทางหนึ่ง แถมยังมีผู้ใหญ่ใจดีในหมู่บ้าน ขนน้ำหวานและขนมไปแจกเด็กๆ หลังจากเลิกเรียน
อานิสงค์ที่หลายฝ่ายต่างร่วมด้วยช่วยกันเหล่านี้จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะโตขึ้นเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป หากแต่เด็กๆมิได้ถูกพัฒนาทางด้านความรู้เท่านั้น กลับเป็นการพัฒนาทางด้านจิตใจให้ใฝ่ในศีลธรรม เฉกเช่นเดียวกับที่ผู้ใหญ่หลายๆ คนเคยเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียนในอดีตก่อนหน้าโน้น น่ายินดีใช่มั๊ยคะ....
สวัสดีค่ะ
นึกถึงตอนเด็กเลยครับ เคยเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เมื่อปี 2510 ที่มหามกุฏราชวิทยาลัยใน วัดบวรนิเวศน์วิหาร ตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อบุญส่ง ชเลธร แปลกมากจากกัน 40 ปีเพิ่งมาเจอเมื่อสามอาทิตย์มานี้เขาไปอยู่สวีเดนมา 35 ปีแล้ว
สวัสดีค่ะคุณเอก
สวัสดีค่ะ คุณครูหญ้าบัว
สวัสดีครับ
ศาสนาพุทธ เป็นสิ่งที่อยู่ในความเชื่อของเรา สำหรับเป็นธงในการดำรงชีวิต ผมบวชเมื่ออายุ ๓๘ ปี บวชแล้วให้รู้สึกว่าบวชช้าไป เด็กๆ ที่ศึกษาธรรมะตั้งแต่อายุยังน้อยแล้วปรับใช้ให้ได้กับชีวิตประจำวัน นับว่ามีบุญ ให้เขาทำเป็นรูปธรรมให้ได้เถอะครับบารมีเขาจะสูงขึ้นครับ
สวัสดีค่ะ คุณ