เมื่อวานไปสัมนาหมูหลุมมา ได้พบปะกับหลายคนแต่เสียดายไม่ได้ทักทายอาจารย์แปลก ในขณะที่เรายอมรับว่าอาจารย์ได้เต็มปากเรากลับมองวิทยากร ซึงเป็นด็อกเตอร์บนเวทีบรรยายเหมือนไม่เป็นอาจารย์ ดูห่างเหินทั้งๆที่ความรู้ที่ท่านเอามาบรรยายก็แสนจะก้าวหน้ามีหลักการเป็นเหตุเป็นผลดี เพียงแต่เราว่ามันไม่สามารถนำมาใช้กับชาวบ้านได้ หมูหลุมเป็นอีกเรื่องที่ชาวบ้านเริ่มเองแลวท่านนักวิชาการวิ่งตาม แล้วที่ผ่านมาชาวบ้านก็ไม่ได้เดือนร้อนมากนักกับกิจกรรมการเลี้ยง แต่พอราชการจะไปจับมันก็เลยยุ่งไปกันใหญ่ไม่มีประสบการณ์ไม่มีความรู้ แต่พยายามจะรู้แล้วเปลี่ยนวิธีการที่เขาทำมาได้ผลให้หันมาตามที่นักวิชาการทดลองวิจัยวึงมันปิดมันไม่เหมือนชาวบ้านที่เข้ามีปัจจัยอื่นๆมาปะปนมากมายเขาอยู่ได้ แล้วมันเป็นธรรมะตรงไหนตรงที่ว่าทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย
ชาวบ้านเลี้ยงหมูหลุมเพราะมีการแนะนำจากองค์กรเอกชนที่เขาทำการกุศลไม่หวังผลทางการเงินเพียงแต่ว่าอยากให้ชาวบ้านมีทางเลือกอาชีพที่ไม่เสี่ยงพึงพาตนเองได้และเผยแพร่กิจกรรมอื่นๆเป็นของแถมไปด้วยเช่นความเชื่อต่างๆ(คงไม่ลงลึกไปกว่านี้ที่มาทีไปมันจะยาว)
ส่วนข้าราชการได้รับนโยบายจากเบื้องบนให้มาติดตามจะด้วยเหตุผลไดก็ไม่ทราบ(อาจจะมีทุนใหญ่ไหนก็ได้ที่หวั่นไหวกับกิจกรรมนี้หนุนอยู่?) เขามีงบประมาณมาก็ทำไปตามกรอบที่ให้มา ว่ากันไปตามเงินที่ว่าไม่คิดว่าจะจริงใจอะไรทำตามหน้าที่ไม่ได้คิดจะเลี้ยงหมูหลุมสักนิด
เห็นได้ว่าเหตุปัจจัยคนละอย่างการเดินทางสายหมูหลุม คนเลี้ยงลงหลุม หรือข้าราชการที่ทำกิจกรรมแบบผิวเผินจะลงหลุมก่อนกันลองคิดกันดูเห็นแตกต่างกันได้นะครับ
ไม่มีความเห็น