ทำไมต้องเป็นเกษตรประณีต 1 ไร่?...
ความล้มเหลวในอาชีพซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวที่เกิดจากการรับวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้ในการผลิตโดยหน่วยงานภาครัฐที่ครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ การเน้นกระบวนการผลิตเพื่อหวังผลตอบแทนมากๆ สำหรับป้อนโรงงานอุตสาหกรรม จึงได้ทุ่มทุนและปัจจัยการผลิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีสำหรับตอบสนองตัณหาของตนเองจนกระเกิดภาวะหนี้สินตามมาอย่างมากมาย อีกทั้งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล หรือความล้มเหลวที่เกิดจากการผลิตตามกระแสนิยมจนกระทั่งภูมิปัญญาของตนถูกทำลายจนหมดสิ้นกระทั่งไม่มีความรู้เพียงพอในการประกอบอาชีพอีกต่อไป จากบทเรียนราคาแพงดังกล่าวจึงเป็นบ่อเกิดแห่งแนวคิดในการที่จะสร้างภูมิคุ้มกันและอาชีพที่มั่นคงให้กับตนเองและครอบครัว ได้มีเกษตรกรที่เป็นระดับปัจเจกบุคคล ที่มีความศรัทธาต่อแนวทาง“เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รวมตัวกันเรียกว่า “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน” ในครั้งแรก และต่อมาเปลี่ยนเป็น “ปราชญ์ชาวบ้าน” เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2538
“ปราชญ์ชาวบ้าน” เป็นกลุ่มคนที่ทำเกษตรผสมผสาน(Integrated Agriculture) มานานนับสิบปีกระจายอยู่ทั่วประเทศ สำหรับในจังหวัดบุรีรัมย์นั้นประกอบด้วย ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์, พ่อคำเดื่อง ภาษี, พ่อผาย สร้อยสระกลาง, และพ่อทองหล่อ เจนไธสง “ปราชญ์ชาวบ้าน” เหล่านี้ได้เปลี่ยนวิธีคิดจากกระแสความคิดเดิมเรื่องการพึ่งเงิน พึ่งตลาด พึ่งวัตถุและพึ่งคนอื่นแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองอย่างสมดุลและมีความสุข โดยอาศัยการปรับตัวกับกระแสบริโภคนิยมที่มีความรุนแรงด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น อาศัยกระบวนการเรียนรู้และการจัดการสู่การพึ่งตนเอง ทำให้ตนเองและครอบครัวมีสุขภาพ คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น กล่าวคือมีปัจจัย 4 ครบ มีหลักประกันในชีวิตทั้งต้นไม้ใหญ่และทรัพย์สิน มีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชุมชนที่เข้มแข็ง มีสิ่งแวดล้อมดี มีอิสรภาพในการคิด พูดและทำโดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น มีความภาคภูมิใจ รวมทั้งเข้าถึงธรรมะและหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม นับว่าเป็นการนำความคิดของบรรพบุรุษมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ต่อวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ที่ผ่านมา สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข อีกทั้งได้เผยแพร่วิธีคิดต่างๆ ให้กับ ญาติพี่น้อง เพื่อนเกษตรกรด้วยกันเอง ตลอดทั้งลูกหลานของเกษตรกรที่สนใจเพื่อจะได้นำแนวคิดไปปฏิบัติอันจะนำมาซึ่งการพึ่งตนเองและพึ่งพาญาติพี่น้อง และชุมชนต่อไป
นอกจากนั้น “ปราชญ์ชาวบ้าน” ยังได้ร่วมคิด ร่วมเรียนรู้ และร่วมทำ ในเรื่องต่างๆ เช่น การตั้งกองทุนภูมิปัญญาชาวบ้านภาคอีสานกระตุ้นให้เครือข่ายของแต่ละศูนย์เรียนรู้จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตนเอง อย่างไรก็ตามเมื่อเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดบุรีรัมย์จะนำไปบอกคนอื่นที่อยู่ในกระแสทุนนิยมมานานให้หันมาทำตามก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าควรที่จะเริ่มต้นการผลิตอย่างไร ผลิตในพื้นที่เท่าไหร่ ควรที่จะปลูกอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านจึงได้มีการพูดคุยกันและได้เริ่มต้นโครงการเกษตรกรรมแบบประณีต 1 ไร่ ขึ้นสำหรับที่จะหาคำตอบให้กับเกษตรกรที่ยังติดยึดกับกรอบความคิดเดิมว่าในการทำเกษตรผสมผสานนั้นไม่จำเป็นต้องมีที่ดินมาก ลงทุนมาก และแรงงานมาก เป็นการผลิตทั้งพืช และสัตว์ร่วมกันให้มีความหลากหลาย เพื่อประโยชน์ในการเกื้อกูลต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นการเริ่มต้นการผลิตจากพื้นที่น้อยๆ ลงทุนน้อย พึ่งพาตนเอง มีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นาอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุด มีความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเกิดการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติโดยมีความมุ่งหวังให้พี่น้องเกษตรกรอยู่อย่างพอเพียง และอยู่ดี มีสุข
ในปี 2546-2547 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สนับสนุนงบประมาณให้เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสาน ในการดำเนินโครงการชุมชนเป็นสุขภาคอีสานในหมู่บ้านแกนกลาง 200 ชุมชน และร่วมกับองค์กรพันธมิตรขยายพื้นที่เครือข่าย โดยใช้ยุทธศาสตร์สร้างความรู้ การจัดการความรู้และการจัดการเครือข่าย ทำให้สมาชิกในหมู่บ้านแกนกลางกว่า 2,000 ครอบครัวและหมู่บ้านในเครือข่ายองค์กรพันธมิตรเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวิธีคิด เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต ทำให้เกิดความสุขทั้งทางกาย ทางใจ ทางสังคม และทางปัญญา เครือข่ายได้ตกผลึกทางความคิดในการพัฒนา รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเกษตรประณีต 1 ไร่ ซึ่งใช้ที่ดินน้อย แรงงานน้อย และลงทุนน้อย แต่สามารถพัฒนาให้เป็นครัวของครอบครัว และเป็นห้องเรียนรู้ของครอบครัว และของชุมชน ช่วยให้ลดรายจ่ายด้านอาหารการกินลงได้ รวมทั้งทำให้เกิดองค์ความรู้ การขยายผลการปลูกต้นไม้ยืนต้นในพื้นที่ที่เหลือ และเครือข่ายที่เหลือ ด้วยเหตุนี้เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านและพหุภาคีภาคอีสานจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้น
จุดเริ่มต้นในการประชุมระดมสมอง วันที่ 30 สิงหาคม 2546 ที่ศูนย์เรียนรู้พ่อนิยม จิตระดิษฐ์ เพื่อสร้างวิธีคิดและวิธีปฏิบัติในการทำเกษตรประณีตบนที่ดิน 1 ไร่ จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า ถ้าจะทำเกษตรประณีต 1 ไร่ ให้สำเร็จจะต้องออมน้ำ ซึ่งอาจจะขุดคลองรอบพื้นที่ ขุดสระ หรือเจาะบาดาล ต้องออมความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วยการใส่ซากพืชซากสัตว์ลงไป ไม่เปิดหน้าดิน ไม่ทำลายไส้เดือนดินด้วยการใช้สารเคมีฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง หรือปุ๋ยเคมีลงไป การปลูกพืชตระกูลถั่วและไม้ยืนต้นที่หลากหลายรวมทั้งการใช้ปุ๋ยคอก การทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยหมักชีวภาพ และน้ำหมักชีวภาพสูตรต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ดินดีขึ้นและเป็นผลให้ระบบนิเวศน์ดีขึ้นด้วย ต้องออมสัตว์ ออมต้นไม้ โดยปลูกพืชยืนต้นที่หลากหลาย แบ่งพื้นที่ปลูกข้าว มีโรงเรือนเพาะเห็ด มีแปลงผักที่จะเก็บไว้บริโภค และส่วนเกินไว้แจกไว้ขาย อย่างน้อย 10 ชนิด มีไม้ดอกไม้ประดับที่เจริญหูเจริญตา และไว้ไล่แมลง มีสมุนไพร รวมทั้งมีต้นชะอม ตำลึงปลูกรอบรั้ว ที่สำคัญต้องสั่งสมกัลยาณมิตร และสั่งสมภูมิปัญญาในการแก้ปัญหาด้วยการหมั่นประชุมกันเป็นนิจ เพื่อนำองค์ความรู้ และกระบวนการเรียนรู้ให้สามารถพัฒนาความคิดการพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองอย่างสมดุลและมีความสุข
โปรดติดตามตอนต่อไป และหากมีข้อเสนอแนะจะเป็นพระคุณยิ่งครับ
อุทัย อันพิมพ์
อ่านแล้วดี มีประโยชน์อย่างมาก จะติดตามตอนต่อไปครับ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีค่ะ
เป็นบันทึกที่มีประโยชน์มาก ใช้สอนนักเรียนชั้น ม 6 ได้ด้วย ภาคเรียนที่ 2 /2550 นี้จะพานักเรียนเยี่ยมชมศูนย์พ่อคำเดื่อง ต้องทำไงบ้างค่ะนี่