บันทึกเรื่อง Home School ในสหรัฐอเมริกา


“ใครเล่าจะสอนลูกได้ดีเท่ากับพ่อแม่”
“ใครเล่าจะสอนลูกได้ดีเท่ากับพ่อแม่”

ปัจจุบันการศึกษาแบบ Home School เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในบ้านเรา คงต้องลองดูว่าตัวแบบในประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องของ Home School เขาทำอย่างไรกันบ้างและมีรูปแบบการจัดการศึกษาอย่างไร

กฏหมายที่เกี่ยวข้องกับ Home School ของมลรัฐต่างๆในประเทศสหรัฐอเมริกา 3 มลรัฐคือ มลรัฐนิวแฮมเชียร์ โอเรกอน และนอร์ทแคโลไลนา ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีกฏหมายของรัฐที่จัดการศึกษาสำหรับเรื่อง Home School แตกต่างกันไป

สำหรับมลรัฐนิวแฮมเชียร์นั้น กฏหมายในเรื่องของการจัด Home School นั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ กลุ่มเป้าหมาย วิธีการดำเนินงาน การประเมินผล

สำหรับกลุ่มเป้าหมายของ Home School ของนิวแฮมเชียร์ อยู่ในวัยเฉลี่ย 6-16 ปี ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาในระดับพื้นฐาน และต้องเป็นผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในรัฐนิวแฮมเชียร์เท่านั้น ส่วนวิธีการดำเนินการบริหารจัดการนั้นขึ้นอยู่กับ Department of Education ซึ่งต้องระบุด้วยว่านักเรียนคนนั้นอยู่ในพื้นที่ใดและเข้าสังกัดในพื้นที่นั้นๆ และต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการศึกษาในเขตพื้นที่นั้นด้วยว่าสามารถจัดการศึกษาแบบ Home School ได้ โดยพ่อแม่จะต้องแจ้งไปให้คณะกรรมการทราบภายใน 30 วันก่อนการจัดการเรียนการสอน สำหรับในรายวิชาที่จัดการเรียนการสอนจะเน้นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การปกครอง การเขียนอ่าน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวงศึกษา เขตการศึกษาพื้นที่และพ่อแม่ที่ต้องการจัดการศึกษาแบบ Home School ให้ลูก

สำหรับวิธีการดำเนินการนั้นพ่อแม่จะต้องส่งชื่อโรงเรียนที่จะส่งเด็กเข้าไปอยู่ในสังกัด หลักสูตรที่จะจัดให้บุตรได้เรียน รายชื่อหนังสือ สื่อการสอนไปยังคณะกรรมการการศึกษาในเขตพื้นที่นั้นๆ

การประเมินผลนั้นใช้ Portfolio ของเด็กคืองานที่เด็กทำในแต่ละขั้นตอนที่เรียนมาเป็นตัวประเมิน และมีการประเมินปีละครั้ง โดยผู้ปกครองจะเป็นผู้คัดเลือครูที่จะมาประเมินลูกของเขา นอกจาก Portfolio ที่ใช้ในการประเมินแล้ว ครูผู้ประเมินอาจจะทำการสอบถามตัวนักเรียนเองว่าได้เรียนรู้อย่างไร ถามพ่อแม่ว่าได้จัดการเรียนการสอนให้ลูกของตัวเองนั้นอย่างไร จากนั้นจะรายงานไปยังคณะกรรมการการจัดการศึกษาและผู้บริหารโรงเรียนที่เด็กคนนั้นสังกัดอยู่ นอกจากนี้เด็กก็ต้องเข้าสอบ State Achievement Test ซึ่งเมื่อสอบเสร็จพ่อแม่ยังมีหน้าที่จะรายงานผลให้คณะกรรมการการศึกษาทราบด้วย ในกรณีที่เด็กไม่สามารถสอบผ่าน ทางรัฐก็มีระเบียบที่จะให้โอกาสเด็กในการเรียนซ่อมเสริมเป็นเวลา 1 ปีและทำการสอบใหม่ ถ้าหากยังสอบไม่ผ่านเด็กก็จะต้องเข้าไปเรียนในโรงเรียนปกติ แต่หากพ่อแม่รู้สึกไม่เป็นธรรม พ่อแม่สามารถร้องเรียนได้

สำหรับรัฐโอเรกอนนั้นจะมีแบบฟอร์มการสมัครเรียนในรูแบบของ Home School ที่ชัดเจน ในแบบฟอร์มจะมีการบันทึกประวัติของผู้เรียนเช่นวัน เดือน ปี ที่เกิดและสถานที่เกิดของผู้เรียน ระบบของรัฐโอเรกอนนี้จะมีการสอบทดสอบความสามารถเมื่อผู้เรียน เรียนอยู่ในระดับชั้น ที่ 3, 5, 8, และ 10 ซึ่งการวัดในรัฐนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะใช้วัดความสามารถของผู้เรียนก่อนที่ผู้เรียนจะเรียนจบในช่วงชั้นต่างๆ ซึ่งถ้าหากเด็กไม่สามารถสอบข้อสอบได้ผ่าน ก็สามารถที่จะสอบแก้ตัวได้สามครั้ง การสอบเป็นการวัดคะแนนแบบอิงกลุ่ม และวัดค่าจากคะแนนเปอร์เซ็นต์ไตล์ที่ 15 นอกจากนี้การสอบ ผู้ปกครองสามรถเลือกให้บุตรหลานเข้าสอบได้จากหน่วยงานที่รัฐได้รับรองซึ่งมีมากถึง 5 หน่วยงาน ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการรายงานผลคะแนนไปให้ทางหน่วยงานที่ตนเองได้นำบุตรหลานไปเข้าสอบ

สำหรับในรัฐนี้ยังมีบทบัญญัติในการให้โอกาสที่จะให้ผู้ปกครองได้จัดการศึกษาให้กับผู้มีความบกพร่องและพิการด้วยเช่นกัน การดำเนินการต่างๆ ในการจัดการศึกษาก็มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับการจัดการศึกษาให้เด็กปกติทั่วไป ยกเว้นแต่บางรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมเช่น กีฬาและดนตรี

สำหรับรัฐสุดท้ายคือรัฐ North Calorina มีการจัดการศึกษาที่คล้ายคลึงกับรัฐอื่นๆ แต่ที่ประเด็นที่ผู้อภิปรายได้หยิบยกขึ้นมาพูดนั้นคือประเด็นเรื่อง เรื่องการเน้นการเรียนในเรื่องการอ่านและการเขียนเนื่องเพราะการอ่านและการเขียนเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษา และประเด็นที่สองคือคุณสมบัติของครูผู้สอน คือพ่อและแม่ที่จะสอบบุตรหลานของตนเองในระบบ Home School ได้นั้นต้องได้รับ Diploma จากสถาบันที่รัฐให้การรับรอง และเด็กที่ได้รับการศึกษาแบบ Home School นั้นสามารถจะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนอยู่ในรัฐ North Calorina ได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป

รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ Home School

ในด้านรูปแบบของการจัดการศึกษาแบบ Home School นั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

1. Charlotte Mason Methods
เป็นรูปแบบที่ให้เด็กอยู่ในสถานการณ์จริงของชีวิต ให้เด็กเรียนรู้และศึกษาจากธรรมชาติเช่นการเรียนรู้กับกฎของธรรมชาติใน ทิศ อุณหภูมิ โดยเด็กจะเป็นผู้เตรียมอุปกรณ์ต่างไปทำการศึกษาเช่น ดินสอ กล้องถ่ายรูป กล้องส่องทางไกล กระดาษ อาหาร การเรียนให้ความสำคัญต่อการคิดผ่านการแก้ปัญหา

2. Montessori Homeschooling Methods
การสอนแบบนี้มักจะจัดเป็นการสอนสำหรับเด็กเล็ก ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวดล้อมของการเรียนให้เหมาะสม เช่นการให้เด็กทำการจักสาน หรือหัตกรรมจากกะลามะพร้าว โดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เด็กได้แสดงความสามารถด้านต่างๆ ออกมาให้เต็มที่ เน้นการอิสระทางความคิด ทำให้เด็กค้นพบสิ่งต่างด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นการพัฒนาสมองในซีกซ้ายของผู้เรียนเป็นส่วนใหญ่ คือความคิด ตรรกะ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประมาณ การพยากรณ์ และการคำนวณเป็นต้น

3. Waldorf Education Methods
เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสำหรับเด็กเช่นเดียวกับ Montessori ซึ่ง มีแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพแบบรอบด้าน โดยมีความเชื่อว่าการศึกษานั้นจะพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ เช่นเด็กวัยแรกเกิดถึงช่วงอายุ 7 ปีนั้นจะเกิดการเรียนรู้จากการกระทำ ในช่วง 7-14 ปีการเรียนรู้เกิดขึ้นจากความประทับใจในสิ่งต่างๆ ความดีความงามที่เห็นอยู่ และในช่วง 14-21 ปีการเรียนรู้หลักเกิดขึ้นจากการใช้ความคิด ซึ่งการกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบนี้เป็นการเน้นให้เด็กใช้สมองในซีกขวา

4. Classical Education Methods
มีความเชื่อว่า พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นครูคนแรกของลูก ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่ และการจัดการศึกษาควรจะจัดในรูปแบบของการบูรณาการของชีวิต วิชาที่เรียนในรูปแบบการจัดการศึกษามักจะเป็นทางด้าน ศิลปศาสตร์ ไวยกรณ์ หลักภาษา ตรรกศาสตร์ การพูด ส่วนใหญ่ในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้จะเน้นให้มีศิลปะในการพูด การสื่อสาร และการเขียน โดยแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มและจัดการเรียนรู้ในลักษณะดังนี้

อนุบาล ถึง เกรด 6 เน้นความจำ
เกรด 7-8 เน้นที่ความมีเหตุ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
เกรด 9-12 เน้นทักษะการคิดการพูดในที่สาธารณะ

และกลุ่มนี้จะไม่เห็นด้วยกับการการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้ามาจัดการเรียนการสอน

5. Unschooling Methods
ในรูปแบบนี้พ่อแม่ผู้ปกครองมักจะไม่ยอมรับ กฎ กติกาในการจัดการเรียนการสอนที่รัฐจัดให้ เน้นการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยพ่อแม่จะเป็นผู้เตรียมสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้กับบุตรหลานของตนเอง รวมถือสื่อการเรียนรู้ต่างๆ ให้ความสำคัญบูรณาการของสหวิชาและเรียนรู้จากธรรมชาติ

6. Traditional Methods หรือ Schoo-at-home
การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้นั้นเป็นการจัดการเรียนการสอนเหมือนกับที่โรงเรียนทั่วไปจัดขึ้น แต่ที่แตกต่างกันคือเป็นการจัดการเรียนรู้ที่บ้าน หลักสูตรก็จะเป็นหลักสูตรที่โรงเรียนปกติจัดสำหรับนักเรียนทั่วไป

อ้างอิง
บันทึกจากการรับฟังการบรรยายในวันที่ 9 ก.ย. 2550 จาก

ซิลเตอร์ พัชรา นันทจินดา
ผู้บริหารโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์

อาจารย์ประพิณ ขอดแก้ว
อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

http://homeschooling.about.com/

หมายเลขบันทึก: 136802เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2007 22:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 14:56 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

Living in Thailand. I just finish my villa in Hua Hin and search some inspiration for my villa

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท