อาทิตย์นี้ได้มีโอกาสเดินสายพบตัวจริงเสียงจริงของอาจารย์หลายท่านที่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือทาง gotoknow มาตลอด ๕ เดือนที่เปิด blog เริ่มจาก อ.ตุ้ม ม.เกษตร นัดพบกันในงานมหกรรมงานวิจัย สกว.ภาคเหนือ อ.ปัท ม.ธรรมศาสตร์ ไปให้อ.เลี้ยงข้าวที่บ้านเก่า มธ.ท่าพระจันทร์ และ อ.แหวว ที่เพิ่งแยกกันเมื่อชั่วโมงก่อนนี้เอง
อาจารย์ทุกท่านน่ารักมาก แต่ละท่านช่วยจุดประกาย และคลี่คลายข้อสงสัยหลายประการที่สั่งสมมาหลายเดือน แถมมีการบ้านให้ได้คิดต่อและลงมือปฎิบัติอีกหลายๆ อย่าง ต้องขอบคุณอาจารย์ทุกท่านมากนะคะ
แต่มีบางประเด็นที่ท้าทายความรู้เดิมและแผนการในใจที่คิดไว้อย่างจัง โดยเฉพาะประเด็นด้านความถูกต้องทางกฎหมายของกองทุนการเงินที่ฉันคิดจะลงไปเริ่มต้นใหม่ในพื้นที่
อ.แหวว นักกฎหมายแห่ง ม.ธรรมศาสตร์ ตั้งคำถามกับฉัน หลังจากที่ฉันได้แบ่งปันให้ฟังว่า อยากจะเริ่มกระตุ้นให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไร้สัญชาติในพื้นที่ได้เริ่มออมเงินร่วมกัน วันละบาทเพื่อเป็นกองทุนช่วยสวัสดิการด้านสุขภาพอนามัย และอื่นๆ เพื่อเป็นสวัสดิการของชุมชนเองในขณะที่สวัสดิการของรัฐยังเข้าไม่ถึงคนกลุ่มนี้
อ.แหวว ถามว่า "รู้ไหมว่าผิดกฎหมาย?"
ฉันแอบเถียงเล็กๆ แบบงงๆ ก็เห็นนักวิชาการและชุมชนท้องถิ่นต่างๆ เขาก็ทำกันทั่วประเทศ หรือที่องค์กรของฉันก็ทำมากว่า ๒๐ ปีแล้วนี่นา !!??
อ.แหวว ยกตัวอย่าง กลุ่มที่เล่นแชร์ ว่าไม่ต่างกันเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ ดังนั้นเมื่อมีปัญหาโดนโกง ชาวบ้านก็เลยเรียกร้องอะไรไม่ได้เพราะตัวเองก็ทำผิดกฎหมายอยู่แล้ว หรือตัวอย่างการต่อสู้เรื่องป่าไม้ของชาวบ้าน เป็นต้น
อาจารย์ย้ำว่า ยังไงก็ต้องเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐ ซึ่งแม้ยังไม่มีกฎหมายรองรับก็ต้องเสนอและผลักดัน ไม่งั้นก็ผิดกฎหมาย
โดยเพิ่มเติมว่าตอนนี้ในแง่สาธารณสุข ทาง สวปก. สำนักงานวิจัยเพื่อพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข ก็กำลังพยายามนำเสนอกฎหมายนโยบายที่เหมาะสมสำหรับคนที่เข้าไม่ถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (คนที่ไม่มีสัญชาติไทย)
ฉันยังอดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมการที่ชาวบ้านจะร่วมกันช่วยเหลือตัวเอง เพื่อจะพึ่งตนเองได้ ก็ยังผิดกฎหมายอีก !!
เลยอยากรีบบันทึกความมึนงงกับความรู้ใหม่นี้ ก่อนที่จะดูว่าจะสร้างสะพานนี้ต่ออย่างไรดี ???
ตอนแรกตอบเสียยาว แต่เกิดขัดข้องทางเทคนิค ข้อความหายหมด...
เป็นจริงที่ว่า องค์กรการเงินชุมชนหลายแห่งไม่มีกฎหมายรองรับ
ตอบสั้นๆแค่ว่า กฎหมายไม่ใช่กติกาหนึ่งเดียวที่จะจรรโลงสังคม เพราะ ศีลธรรม จารีต ประเพณี กติกาชุมชนก็สามารถศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่แพ้กฎหมาย บางครั้งกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม แต่ทำให้คนบางกลุ่มถูกกีดกันก็มีเหมือนกัน
หลักเศรษฐศาสตร์ให้ความสำคัญกับต้นทุนการบังคับกฎ มากกว่าที่ว่า กฎนั้นเป็นกฎหมายหรือไม่ ต่อให้เป็นกฎหมาย แต่ถ้าคุมกฎไม่ได้ เพราะผู้คนบิดพริ้ว กฎหมายก็ไม่เป็นจริง
ถ้าองค์กรการเงินชุมชนมีกติกาที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของสมาชิก สมาชิกมีเป้าหมายร่วมกัน มีความซื่อสัตย์ เคารพกติกา รู้จักกันและกันว่าใครเป็นใคร กรรมการเป็นที่ยอมรับว่ามีความซื่อสัตย์ ต้นทุนการคุมกฎก็ต่ำ กติกาชุมชนก็ย่อมศักดิ์สิทฺธิ์ได้
องค์กรการเงินชุมชนหลายแห่งจึงประสบความสำเร็จงานศึกษาพบว่า ชาวบ้านซื่อสัตย์ในเรื่องการเงิน
บทเรียนแชร์ลูกโซ่ ปัญหาเกิดเพราะอะไร ? กฎหมายเข้ามาตอนจบและให้ข้อสรุปแค่ว่า สมาชิกแชร์ลูกโซ่ต้องรับความเสี่ยงกันเอง
แต่รับฟังคำเตือนของอาจารย์แหววไว้บ้างก็เป็นประโยชน์ค่ะ จะได้ขับเคลื่อนกิจกรรมด้วยความรอบคอบ
งานสัมมนาที่วัดป่ายางวันที่29-30ต.ค.ก็มีเสียงบ่นว่าคนของรัฐตราหน้าว่ากลุ่มสัจจะเป็นกลุ่มเถื่อน
เรื่องนี้มีประวัติมายาวนาน
ผมเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญปี2540รับรองการรวมตัวกันของชุมชนเพื่อทำกิจกรรมส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน(มิใช่ธุรกิจระหว่างบุคคลและนิติบุคคล-ความเห็นของอ.แหววเข้าใจว่าคงเป็นมุมมองของนักกฏหมายเพราะอ.ฐาปนันท์ นิติศาสตร์มธ.เหมือนกันบอกว่าไม่มีชุมชนอยู่ในตัวบทกฏหมาย)
ที่จริงการรวมกลุ่มช่วยเหลือกันยืนอยู่บนหลักการ สหกรณ์ แต่สหกรณ์ในกฏหมายไทยคือ กลุ่มที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเท่านั้น จึงมีคำเรียก
สหกรณ์ภาคประชาชน ทดแทน
มีหน่วยงานรับรองสถานะภาพองค์กรชุมชนคือ สถาบันพัฒนาองค์กร(พอช.) และที่พยายามต่อสู้ทางกฏหมายคือพรบ.สภาองค์กรชุมชน
หลักการทางกฏหมายคุ้นเคยกับแนวคิดปัจเจกถือเอาการต่อสู้ทางคดีความเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มแนวคิดยุติธรรมชุมชนโดยใช้กลไกทางสังคมช่วยจัดการซึ่งได้ผล(โดยรวม)ดีกว่า
ผมเข้าใจว่าแนวคิดการรวมกลุ่มทางการเงินเพื่อช่วยเหลือกันก็ใช้กลไกทางสังคมเป็นกลไกสำคัญ
ครูชบประกาศว่า กลุ่มจะไม่ฟ้องร้อง ใครโกง(ได้)ก็โกงไป
ครูชบใช้กลไกชุมชนและกองทุนสวัสดิการเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อให้สมาชิกไม่คิดโกง
วิธีการสำคัญคือ
1)ตั้งกองทุนสวัสดิการที่แบ่งกำไรอย่างน้อยครึ่งหนึ่งควบคู่กันไปกับเงินออมของสมาชิก
2)ตั้งกองทุนสวัสดิการลดรายจ่ายวันละ1บาทหรือกองบุญวันละ1บาทเคียงคู่กับกองทุนสวัสดิการสัจจะเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เป็นคนดีตามกรอบระเบียบของกลุ่ม ด้วยการ
2.1)การกู้ป้องกันโดยใช้เงินหุ้นหรือเงินสัจจะของตนเองค้ำ และมี2คนช่วยค้ำตามหลักการ ที่พิเศษคือ
2.2)ในวันทำการเมื่อมีการส่งคืนเงินกู้รายเดือน ถ้าผู้กู้คนใดไม่ส่ง จะไม่ปล่อยกู้ในเดือนนั้น คนค้ำต้องไปตามเงินกู้มาคืน ถ้าไม่ได้ ผู้ที่ต้องการกู้ต้องยอมเฉลี่ยจ่ายคืนเงินกู้ที่ค้างส่งในเดือนนั้นแล้วไปตามเก็บเงินจากคนค้างเอง
วิธีการนี้ให้ความสำคัญกับกลุ่มสูงมาก กลุ่มมีความสำคัญที่สุด ปัญหาจากเงินค้างจึงไม่มี สมาชิกต้องดูแลกันเอง ต้องจัดการกันในระบบสังคม/ชุมชน
3)เรื่องบัญชีต้องชัดเจนเป็นระบบทุกเดือน
สามารถปิดบัญชีรับจ่าย(บัญชีเงินสด)และปิดงบทดลองในแต่ละเดือนได้โดยเร็วที่สุด(ในวันนั้นหรือวันรุ่งขึ้นโดยให้กรรมการร่วมเรียนรู้เรื่องบัญชีด้วย)
ด้วยวิธีการเหล่านี้ หากมีสมาชิกมากพอและทำกิจกรรมต่อเนื่องระยะหนึ่งก็จะมีเงินกองทุนเพิ่มพูนขึ้นเป็นพลังที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม
จากการออม-กู้ ลดรายจ่าย/ทำบุญ-จัดสวัสดิการโดยใช้กลไกทางสังคมจัดระบบก็จะช่วยให้ชุมชนพอฟื้นตัวได้ จะเป็นพลังในการทำเรื่องอื่นๆต่อไป
โดยสรุปคือ
1)ระบบคิดเรื่องการออม-กู้ ลดรายจ่าย/ทำบุญ-จัดสวัสดิการ
2)วิธีการ เน้นการพึ่งตนเอง จูงใจด้วยสวัสดิการ
พึ่งพา/ดูแลกันภายใน ความมั่นคงของกลุ่มต้องมาก่อน
3)ผู้นำ การเรียนรู้ร่วมกันของคณะกรรมการและสมาชิก
นักกฎหมายอย่าง อ.แหวว ไม่ยอมพ่ายแพ้ "กฎหมายของผู้ปกครอง" หรอกค่ะ คำว่า "กฎหมาย" มีความหมายโดยพื้นฐานมาจาก "เหตุผลที่ถูกต้อง" ค่ะ
จะต้องประดิษฐประดอย "กฎหมายที่เป็นอยู่" ให้สร้าง "ยุติธรรม" มากที่สุด และต้องเป็น "ยุติธรรมทางสังคม" ขอเวลาสักหน่อย
โปรดดูการเตรียมตัวทำงานของเรา
http://www.oknation.net/blog/archanwell/video/14120
สิทธิในสุขภาวะมันเป็นสิทธิมนุษยชน มันจะจำกัดอยู่ที่คนสัญชาติไทยเท่านั้นได้อย่างไร
ขอบคุณ อ.ภีม อีกครั้งค่ะ
กำลังศึกษางานของอาจารย์ จากรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ที่ อ.ปัท เอาให้ อย่างตั้งอกตั้งใจค่ะ น่าสนใจและตรงกับที่กำลังแสวงหาอย่างมากค่ะ
ดีใจที่จะมีสะพานที่มีฐานรากมั่นคงจากความเข้มแข็งของชุมชนเองค่ะ
แล้วคงมีประเด็นหารืออาจารย์ต่ออีกนะคะ
เชื่อมือและเชื่อมั่นอาจารย์แหววอยู่แล้วค่ะ เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ