.........ย้อนกลับไปในครั้งที่เริ่มมีการพบสุสานของ มัมมี่ฟาโรห์ตุตันคาเมน
....ขณะที่ชายผิวขาวชาวยุโรปกำลังสนใจในการขุดค้น มีกรรมกรชาวพื้นเมืองร่างกายกำยำล่ำสันคนหนึ่งยืนมองดูกลุ่มชาวผิวขาวที่ยืนบงการคุมงานขุดเจาะสุสานที่ฝังศพตุตันคาเมนด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนพูดว่า"พวกนั้นคงได้พบทั้งทองคำและทั้งความตาย"
ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ชาวยุโรปคนนั้นรับฟังอย่างตื่นเต้นพร้อมกับย้อนถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น "เพราะว่า……..มีบรรดาเทพเจ้าสิงอยู่มากมาย…และชายคนนั้น" กรรมกรชี้มือไปยังสุสาน เขาคงหมายถึง คาร์เตอร์ หรือคานาวอน "ไม่เชื่อเรื่องต่างๆ เอาเสียเลย เขาได้พบบรรดาเทพเจ้าเหล่านั้นเหมือนกัน แต่มันก็สายเกินการไปเสียแล้ว เขาทำการบุกรุกละเมิดต่อเทพเจ้าองค์นี้…องค์ที่เป็นเทพเจ้าทั้งหลาย พระองค์คือ อะเม็น-รา…"
ตามธรรมดาของการทำศพในอียิปต์ใครๆ ย่อมรู้ดีกันอยู่ตลอดมาว่า ศพอาบยาที่เรียกว่า "มัมมี่" เป็นศพของคนที่เคยต่อต้านความเป็นเทพเจ้า ศพอาบยานั้นจะนำโชคร้ายมาสู่ผู้พบเห็น
สำหรับพระบรมศพของตุตันคาเมน ตามบันทึกที่ค้นพบแสดงว่า หลังจากสิ้นพระชนม์แล้วได้มีการนำพระศพไปฝังยังสุสานดังกล่าว โดยมีการทำพิธีปลุกเสก แต่น่าแปลกที่พิธีการครั้งนั้นกลับไม่มีการจำหลักรูปสีเหลืองของ "รา" ซึ่งในศาสนาอียิปต์โบราณ หมายถึง ดวงอาทิตย์ เอาไว้ที่ตอนหัวของหีบบรรจุพระศพที่ถูกห่อหุ้มและอาบยาตามราชประเพณี ยิ่งแผ่นโลหะที่เขียนภาพเทพเจ้าอันมีพระนามต่างๆ อีก 9 องค์ พร้อมกับต้องมีการเจิมน้ำมันสนทุกรูปก็ไม่มีการจัดทำในพระราชพิธีฝังพระศพของพระองค์เหมือนกัน
ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีการกระทำพิธีสวดด้วยเวทมนตร์คาถาอาคมต่างๆ เป็นการถวายความสงบให้แก่ดวงวิญญาณกษัตริย์ก่อนจะบรรจุพระศพลงหีบ
ผู้ร่วมปฏิบัติการอยู่กับลอร์ดคานาวอน ในครั้งนั้นมี โฮเวิร์ดคาร์เตอร์กับเลขานุการของเขาซึ่งมีชื่อว่าดิ๊ค เบ๊ทฮอลล์ นอกจากนี้ก็มีเมอร์ซิเออร์ เบเนดิค นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศษ ซึ่งเป็นผู้แทนมาจากกรมการโบราณคดี ประจำกรุงไคโร และเมอร์ซิเออร์ พาซาโนวา ทั้งหมดล้วนพากันตายด้วยลักษณะน่าฉงน เฉพาะลอร์ดคานาวอนตายอย่างพิสดารจริงๆ ถูกยุงกัดแก้มแล้วเป็นไข้สูง เพราะเชื้อกำเริบจนหมอช่วยไม่ได้ แต่ที่แปลกกว่านั้น คือ ในวันที่มีการเปิดเผยศพอาบยาของตุตันคาเมนให้ได้เห็นกันทั่วไป ทุกๆคนต่างก็ได้เห็นเครื่องหมายอะไรอย่างหนึ่งปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของมัมมี่กษัตริย์องค์ ซึ่งคล้ายกับที่ทิ้งรอยไว้บนดวงหน้าของลอร์ดคานาวอน วันที่เสียชีวิตในลักษณะเดียวกันและตำแหน่งเดียวกันพอดี (ลอร์ดคานาวอน ตายก่อนจะนำมัมมี่ของตุตันคาเมนออกมาจากสุสานได้)
หลังจากมีการเปิดสุสานต้องสาปออกมาเป็นผลสำเร็จ บุคคลชั้นขุนนางในสมัยนั้นเข้ามาร่วมเคราะห์กรรมด้วยอีก 2 คน คนหนึ่งคือ พันเอก เมอร์ลิน เฮอร์เบิร์ต ญาติสนิทของลอร์ดคานาวอนกับอีกคนหนึ่ง คือ เอ็ส.จี.เอเวลีน ไวท์
ตอนที่ปากทางเข้าสุสานถูกเปิดออก พันเอก เมอร์ลิน เฮอร์เบิร์ต เป็นคนแรกที่ก้าวเท้าย่างเข้าไปก่อน ปรากฏว่าร่างกายเขาสั่นสะท้าน เขาจึงหยุดชะงักและมีท่าทางลังเลในลักษณะไม่กล้าจะก้าวเดินต่อไปอีก" พระผู้เป็นเจ้าไม่น่าจะดลใจให้คานาวอนมาพบสุสานที่ฝังพระศพแห่งนี้เข้าเลย ผมเกรงว่าจะเกิดอะไรที่น่ากลัวขึ้นกับครอบครัวของเราเสียแล้ว" เขาเป็นคนพูดข้อความประโยคนี้ หลังจากนั้นต่อมาเพียงไม่ทันถึงปีเขาก็เสียชีวิต
ส่วน เอเวลีน ไวท์ นักศึกษาเกี่ยวกับความเร้นลับของราชอาณาจักรของอียิป์ในสมัยโบราณ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการเปิดเผยความลับของสุสานดังกล่าวครั้งนั้นด้วย ต่อมาในระยะหลังจากสุสานถูกเปิดปรากฏว่าได้กลับกลายเป็นคนละคนในลักษณะที่คล้ายกับว่าถูกผีสิง แต่แม้จะกลัวมากเพียงใด ชั่วเวลาหลังจากนั้นอีกเพียงปีเดียวเขาก็ฆ่าตัวตาย เขาเขียนไว้ในจดหมายฉบับหนึ่งก่อนฆ่าตัวตายด้วยข้อความว่า "เหมือนกับมีคำสาปแช่งต่อตัวผมจากอะไรสักอย่างงั้นแหละ"
ปริศนาของฟาโรห์ตุตันคาเมน เกิดขึ้นในปี 1979 (พ.ศ.2522) ตอนนั้นอียิปต์ส่งสมบัติของฟาโรห์องค์นี้ไปตั้งแสดงที่ซานฟรานซิสโก ประเทศอเมริกา ทางห้องนิทรรศการจัดยามดูแลทรัพย์สมบัติอย่างดี แต่เกิดเรื่องขึ้นจนได้ในวันที่ 22 กันยายน 1979 วันนั้น ยอร์ช ลาบาช ยามผู้มีร่างกายล่ำสันรับหน้าที่เฝ้าดูแลทรัพย์สมบัติของฟาโรห์อยู่ภายในห้อง ส่วนนอกห้องมียามอื่นๆอยู่ด้วย ขณะที่เกิดเหตุ ยอร์ช อยู่คนเดียว เพื่อนยามอีกคนไปเข้าห้องน้ำ ยอร์ชเดินไปเดินมาอยู่หน้าแท่นที่ตั้งแสดงหน้าต่างทองคำ อันเป็นที่ครอบพระพักตร์พระบรมศพของตุตันคาเมน ตาก็มองจับไปที่หน้ากากแล้วใจก็นึกไปต่างๆนานาเปรียบเทียบ พระพักตร์ฟาโรห์กับคนที่เขารู้จัก พอเขาเดินห่างจากแท่นที่ตั้งครอบพระพักตร์ก็ถูกตีที่ศีรษะด้านหลังอย่างแรง เพื่อนยามที่อยู่นอกห้องไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งคนที่ไปเข้าห้องน้ำกลับมาเห็นยอร์ช นอนแน่นิ่งหัวแตกเลือดไหลอาบอยู่บนพื้นจึงร้องโวยวาย เรียกคนอื่นๆ มาช่วยหามส่งโรงพยาบาล ยามเคราะห์ร้ายนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน เขาบอกทุกคนว่าถูกทำร้ายด้วย "คำสาปของฟาโรห์""ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นนอกจากผมกับพระองค์ถ้าไม่ใช่ท่านแล้วใครล่ะที่ตีหัวผมแรงขนาดนั้น" เขาตั้งคำถาม
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
สุดยอด