เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ เค้านท์ ฮามอน ในปี พ.ศ.2433 (ค.ศ.1890) เมื่อเค้านท์และเค้านท์เตสส์ ฮามอน เดินทางไปเที่ยวอียิปต์ เมื่อไปชมโบราณสถานของราชวงศ์ที่18-19 ที่เมืองลักซอร์ เค้านท์ ฮามอนก็พบ ชี้ค ชาวอาหรับคนหนึ่ง ซึ่งป่วยเป็นโรคมาลาเรีย สมัยนั้นยังเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก แต่ด้วยความสามารถของ เค้านท์ ฮามอน สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของชี้คคนนั้นจนหายขาด ชี้คจึงมอบสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขา เพราะเป็นของเก่าแก่ เก็บไว้นานมากแล้วแก่ ท่านเค้านท์
เมื่อ เค้านท์ ฮามอนกับภริยา มองดูของขวัญชิ้นนั้นแล้วถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ทั้งท่านและภริยามีความรู้สึกอยากจะเอาของกำนัลที่แสนมีค่าของชี้คไปทิ้งให้ไกลหูไกลตาทันที มันคือ มือข้างหนึ่งของมัมมี่ มือที่ปรากฏต่อหน้าข้างนั้นมีรอยตัดขาดแค่ข้อมือเหี่ยวแห้ง มีแต่หนังหุ้มกระดูกเป็นสีน้ำตาลคล้ำ บนนิ้วนางยังมีแหวนประดับอัญมณีสวมอยู่ด้วยวงหนึ่ง
ชี้คเล่าถึงประวัติสยองขวัญของมือข้างนั้นให้เค้านท์ ฮามอนฟังอย่างภาคภูมิใจ มือนี้ไม่ใช่มือธรรมดาหากเป็นหัตถ์ของเจ้าหญิงผู้เป็นหลานสาวของฟาโรห์อัคนาเตนแห่งราชวงศ์ที่ 18 ชี้คไม่รู้ว่าเจ้าหญิงองค์นี้ทรงนามว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ คือ พระองค์บังอาจขัดพระทัยฟาโรห์อัคนาเตนอย่างรุนแรง เจ้าหญิงอาจเชื่อคำยุยุงของพวกนักบวชให้กระด้างกระเดื่องไม่ยอมนับถือเทพองค์ใหม่ที่อัคนาเตนบังคับให้นับถือก็ได้ ทำให้ฟาโรห์ทรงพิโรธยิ่งนัก จึงทรงสั่งให้นักบวชแห่งอาเตนสังหารเจ้าหญิง แล้วตัดเอาหัตถ์ข้างหนึ่งออกมา จากนั้นนำร่างของเธอ ไปฝังไว้ในสุสานที่หุบผากษัตริย์ซึ่งลึกลับมากจนยังไม่มีใครหาเจอ ชาวไอยคุปต์โบราณหวาดกลัวการค้นพบสุสานของเธอมาก เพราะเชื่อกันว่าการที่ใครถูกฝังไปโดยมีชิ้นส่วนร่างกายไม่ครบเท่ากับเป็นการปิดทางไม่ให้ไปสู่โลกหลังความตาย วิญญาณเธอก็จะต้องวนเวียนอยู่แถวสุสาน
ส่วนหัตถ์ของเธอที่แยกฝังจากร่าง ชี้ค คนไข้ของอามอนไปพบเข้าก็นำมาเก็บรักษาไว้ในฐานะของขลังอันศักดิ์สิทธิ์
เค้านท์ ฮามอนกับภริยารับมือมัมมี่นับกลับกรุงลอนดอน ในที่สุดสองสามีภรรยาก็ตกลงที่จะเก็บมือเหี่ยวแห้งพร้อมกับแหวนมีค่าไว้ในตู้เซฟเปล่าซึ่งซ่อนอย่างแข็งแรงอยู่ในผนังห้อง ที่คฤหาสน์ในกรุงลอนดอน เวลาผ่านไปนานถึง 30 กว่าปี เค้านท์และเค้านท์เตสฮามอนไม่ได้เปิดเซฟใบนี้เลย จนกระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ. 2465 (ค.ศ.1922)
ข่าวใหญ่ที่ทำให้วงการโบราณคดีสั่นสะเทือน คือการที่ ลอร์ดคานาวอน กับนักโบราณคดี โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ ได้พบสุสานตุตันคาเมน ผู้เป็นชามาดา(ลูกเขย) ของฟาโรห์อัคนาเตน ทำให้ท่านเค้านท์นึกถึงมือมัมมี่ที่เก็บไว้นานตั้ง 32 ปี ในเซฟใบนั้นขึ้นมาได้ ท่านเค้านท์และเค้านท์เตสจึงไปเปิดออกดูเป็นครั้งแรกหลังจากที่เก็บไว้มาเป็นเวลานาน
สองสามีภรรยาแทบจะช็อคไปในทันทีด้วยความตกใจ เพราะว่ามือมัมมี่เจ้าหญิงเปลี่ยนแปลงไปแล้วแทนที่จะเป็นมือแห้งเหี่ยวกลับสดชื่นราวกับเพิ่งตัดออกจากร่างกายใหม่ๆ วิญญาณของเจ้าหญิงยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆมือของเธอ คำสาปที่เธอถูกพระของ ฟาโรห์อัคนาเตน ร่ายไว้ทำให้เธอต้องติดตรึงกับมือข้างนั้น
เค้านท์ฮามอนจัดแจงนำมือมัมมี่ไปวางไว้บนกองฟืนในเตาผิงภายในคฤหาสน์ แล้วก็เริ่มต้นอ่านข้อความในคัมภีร์มรณะ โดยมีเคานท์เตสนั่งฟังอยู่ข้างๆ พอเขาอ่านคัมภีร์จบ ก็จุดไฟในเตาผิงเพื่อจุดไฟในเตาผิงเผามือมัมมี่ ฉับพลันนั้นเองก็มีแสงฟ้าแลบ ตามด้วยเสียงฟ้าผ่า เป็นเหตุให้ไฟทุกดวงดับลมพัดแรง เค้านท์และเค้านท์เตสต่างทรุดตัวลงไปกองอยู่ที่พื้นด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ และรู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งเข้ามาในห้อง
เค้านท์และภรรยาค่อยๆเหลือบตาขึ้นดูแสงไฟจากเตาผิงช่วยให้เขาเห็นร่างที่เข้ามาใหม่นั้นชัดเจน เป็นร่างเจ้าหญิงในชุดเครื่องทรงของขัตติยานี แห่งราชวงศ์ที่18 ของไอยคุปต์โบราณนานกว่า 3,000ปี บนเศียรของเธอประดับด้วยรูปงูทอง หน้าแปลกที่พักตร์ของเธอเศร้าหมอง แขนข้างขวามีรอยถูกตัดเหนือข้อมือเล็กน้อย
อีกสี่วันหลังจากนั้นเค้านท์ฮามอนค่อยหายจากอาการช็อค แต่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลพร้อมกับภรรยาก็ได้ข่าวว่า คณะของลอร์ดคานาวอนเปิด สุสานตุตันคาเมนเข้าไปพบแผ่นจารึกคำสาปแช่งผู้บุกรุกสุสานอยู่ที่ธรณีประตูห้องแอนตี้แชมเบอร์ ท่านเค้านท์จึงรีบเขียนจดหมายอีกฉบับส่งไปยังสหายทันที มีใจความตอนหนึ่งว่า" ผมรู้ว่าชาวไอยคุปต์โบราณนั้นรู้จักวิชาและพลังลึกลับหลายอย่างซึ่งพวกเราไม่มีทางล่วงรู้ ในพระนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า ผมขอร้องให้คุณโปรดระมัดระวังและใคร่ครวญให้ดีก่อนบุกรุกสุสานที่ต้องคำสาปอย่างนั้น"
ลอร์ดคานาวอนไม่ได้หยุดยั้งการเปิดสุสานตามที่สหายเตือน…ผลคือเขาสิ้นชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อเป็นรายแรก ตามติดมาด้วยมรณกรรมของใครต่อใครที่เข้าร่วมในพิธีเปิดสุสานตุตันคาเมนอีก 22 คน
ไม่มีความเห็น