หลังจากใช้เวลาอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์มาได้พักหนึ่ง ก็เดินตามแสงสว่างออกมา ว๊าว!! เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย จุดที่ 5 คือ ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์
(ALPINE SAVANNA ) <div style="text-align: center"></div><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ซึ่งมักพบปกคลุมสันเขาและยอดเขาบริเวณที่สูงกว่า 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลักษณะของพื้นที่เป็นที่โล่ง ดินค่อนข้างตื้น และมีหินโผล่ มีหญ้าปกคลุมสลับกับไม้พุ่มและพืชล้มลุกที่พบในเขตอบอุ่น </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> เนื่องจากมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดปี และมีการแปรปรวนของแรงลมสูง จึงทำให้ไม้ใหญ่ของสังคมพืชป่าดิบเขาระดับสูงไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ถ้ามาในช่วงหน้าร้อนทุ่งหญ้าบริเวณนี้จะกลายเป็นทุ่งสีทองสว่างไสวไปเลย <div style="text-align: center"></div><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> มาถึงจุดชมวิว จุดนี้ถ้าอากาศเปิดจะมองลงไปเห็นอำเภอแม่แจ่ม และอาจจะโชคดีเห็นเลียงผาหรือกวางผาไต่อยู่บนหน้าผาทางขวามือเบื้องหน้าก็ได้ เคยมาเที่ยวครั้งหนึ่งคนนำทางเล่าว่าที่บริเวณนี้ถ้าเราอธิษฐานอะไรแล้ว...ก็จะได้ตามนั่นค่ะ อิอิ...นี่แหล่ะคือสาเหตุให้อยากกลับมาอีก</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p> โน่นค่ะ…เส้นทางที่เราต้องเดินกัน พี่ศรบอกว่า…ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยนะเนี่ย!!!! <div style="text-align: center"></div><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p> พี่ศรเดินหนีเราไปแล้ว(สองสาวมัวแต่ถ่ายรูปกัน) เส้นทางข้างหน้าต้องระวังเป็นพิเศษ <div style="text-align: center"></div><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p> ดอกเนียมดง สีม่วงเล็กๆ น่ารัก ขึ้นเรียงรายตามเส้นทาง ทำให้เราเพลิดเพลินลดการกลัวความสูงของเราไปได้ <div style="text-align: center"></div><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p> ดอกกระดุมทอง สวยจนเราต้องหยุดถ่ายรูป <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> เดินๆและก็เดินจนมาถึงจุดที่ 6 เรียกว่า ธรณีสัณฐานกิ่วแม่ปาน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><div style="text-align: center"></div></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> </p> อ้าว! ตรงนี้นี่เองที่เรียกว่า ”กิ่ว” คือลักษณะของภูมิประเทศแบบสันเขาที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยบนสันนั้นจะแคบและมีไหล่เขาสองข้างลาดชันลงมาตามแนวสันเขา บริเวณทางเดินที่เราเห็นเป็นพุ่มไม้ด้านซ้ายมือเป็นไม้พุ่มเตี้ย ความจริงแล้วเป็นเรือนยอดของไม้ใหญ่สูงถึง 30 เมตร ที่ขึ้นอยู่ในหุบข้างล่าง <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> จากนั้นก็ได้ยินราณีร้องด้วยความตื่นเต้น หุบเขาข้างล่างที่มีแต่หมอกหนาปกคลุม…อยู่ดีๆหมอกก็เริ่มจาง แล้วภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็คือ….</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"><div style="text-align: center"></div></p> หินสองแท่งตั้งคู่กันบนไหล่เขาด้านขวามือ ชาวบ้านท้องถิ่นเรียกว่า “แง่มน้อย” หินสองแท่งนี้เป็นหินแกรนิตที่เกิดจากหินหลอมเหลวใต้ผิวโลกที่ดันตัวไปในที่สุด ส่วนประกอบของหินที่อ่อนง่ายต่อการผุพังกัดกร่อนก็จะสลายตัวไปในที่สุด เหลือเพียงส่วนที่คงทน เช่น ส่วนของแง่มน้อยทั้งสองแท่งนี้ แท้จริงแล้วในอดีตแง่มน้อยเคยเป็นหินก้อนเดียวกับสันเขาที่เรายืนอยู่นั่นเอง ตอนนี้เราเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว บริเวณนี้เราใช้เวลานานพอสมควร เพราะจะเก็บข้อมูลให้กับนักศึกษา แต่ในความสวยงามก็มีความหดหู่บางอย่าง ขอเล่าในวันต่อไปนะคะ
ฮาก๊ากส์ๆๆๆ เลยตอนเห็นรูปนะ ไม่คิดว่ายัยราณีนี้ ทำไปด้าย โค-ตะ-ระ แอ๊บแบ๊ว เลย..อิอิ
สงสัยแล้วว่าหว้าทำไมช้าจ้ง มัวยืนขาสั่นอยู่นี่เอง ฮ่าๆๆๆๆ แต่กลับไม่ลืมถ่ายรูปแฮะ รูปสุดท้าย นี่ฟ้าเปิดแป๊บเดียวเอง สุดท้ายก็ฟ้าปิดเหมือนเดิม อิอิ
สวัสดีครับ
แวะมาชมครับ
อากาศคงหนาวน่าดู
แฮ่ นางแบบโพสต์ท่าเหลือเกิน อิๆๆ
ขอบคุณครับ
สวยมากคับพี่หว้า
แอ๊บแบ๊วทั้งคู่เลย
ราวังเจอเด็กแว๊นส์ อิอิ
ผมไม่มีเบอร์พี่หว้าอ่ะคับ
ไหนบอกว่าจะเมล์มาบอกเมล์ป๋มไม่ได้รับคับ
ยิงมาบอกได้ไหมพี่ 087-4044436