ม่านหมอกหนาลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำเรียบนิ่งของอ่างเก็บน้ำกลางหมู่บ้าน แสงอาทิตย์จากมุมหนึ่งของท้องฟ้า ค่อยๆ ปรับสีสันทิวทัศน์โดยรอบบ้านรักไทยให้พ้นจากความหม่นมัว ถึงอย่างนั้น…ในฤดูหนาวหมอกจางๆ จะยังคงโอบล้อมชีวิตของคนที่นี่ไปจนสาย
สาวไทยเชื้อสายจีนยูนนาน ในชุดกี่เพ้า จัดเตรียมข้าวของรอต้อนรับนักท่องเที่ยวในเช้าวันใหม่ ร้านน้ำชาเล็กๆ จากแหล่งชาชั้นดี คือ คำเชื้อเชิญอันอบอุ่น บ้านเรือน และร้านรวงส่วนใหญ่ทำจากดินเหนียวผสมฟางข้าวตามวัฒนธรรมดั้งเดิม
ในหมู่บ้านแห่งนี้ นอกจากผู้คนที่มีบรรพบุรุษอพยพมาจากทางตอนใต้ของประเทศจีนแล้ว ยังมีชุมชนชาวไทยใหญ่ปะปนอยู่จำนวนหนึ่ง ทุกเช้าคุณยายชาวไตจะเริ่มภารกิจหุงหาอาหารตรงชานบ้าน ขณะที่เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามประสา ใกล้กันนั้นหนุ่มวัยกลางคนกำลังดูดยาเพื่อเรียกพลังก่อนออกไปทำไร่ตามปกติ
ด้วยความงดงามของธรรมชาติและวัฒนธรรม บ้านรักไทย หรือ บ้านแม่ออ ในอดีต ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนถึงชายแดนไทย-พม่า และอยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเพียง 44 กิโลเมตร ได้รับการแนะนำในฐานะหมู่บ้านท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดแม่ฮ่องสอน
จากยูนนานถึงบ้านแม่ออ
การเดินทางไกลของชาวบ้านรักไทย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนจากมณฑลยูนนาน (จีนฮ่อ) เริ่มต้นเมื่อจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบคอมมิวนิสต์ เมื่อปี ค.ศ.1949
“ตอนแรกก็มาอยู่ที่พม่าก่อน บางส่วนอยู่ที่ลาว จนสุดท้ายกองพล 93 ก็มาอยู่ที่ดอยแม่สะลอง เชียงราย ส่วนกองพลที่ 95 ไปอยู่ที่ผาตั้ง ที่เรามาอยู่ที่นี่ก็เพราะว่านายพลตงฉีเหวิน เห็นว่า ช่องทางระหว่างบ้านแม่ออ ตรงข้ามเป็นบ้านแม่ออหลวง มีการค้าขายหยกและอัญมณี จึงส่งกองพลมาเพื่อจะมาตั้งด่านตรงนี้และเก็บส่วย แรกๆ มาร้อยกว่าคน”
“ภายหลังเมื่อมีปัญหาเรื่องการคอร์รัปชัน ท่านนายพลต้วนก็ให้ท่านเจ้าฟ้าเล่าหยาง ซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่มาสืบหาความจริงและดูแลพื้นที่ตรงนี้ ในที่สุดก็เลยตั้งรกรากอยู่ที่นี่”
คู่จง แซ่เฉิ่น เยาวชนบ้านรักไทย ทายาทรุ่นที่สาม ย้อนอดีตให้ฟังอย่างคล่องแคล่ว
จากอดีตทหารจีนคณะชาติ คนที่นี่ค่อยๆ กลมกลืนกับผืนแผ่นดินไทย ด้วยการเข้าร่วมในปราบปรามคอมมิวนิสต์ในสมรภูมิเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ จนบางส่วนได้รับพระราชทานนามสกุล ซึ่งมักจะขึ้นต้นหรือลงท้ายด้วย ‘ภักดี’ ‘อภิรดี’ รวมทั้งชื่อหมู่บ้านรักไทยด้วย
“ส่วนใหญ่จะชอบชื่อรักไทยมากกว่า เพราะชื่อแม่ออจะไปคลองกับหมู่บ้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีปัญหายาเสพติด”
ทุกวันนี้แม้ว่าความอึมครึม จะเริ่มถูกเปิดเผยด้วยการแปลงโฉมหมู่บ้านให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ในสายตาของลูกหลานบ้านแม่ออ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้อคติบางอย่างหายไป
“ชาวบ้านกว่าครึ่งยังไม่มีสัญชาติ ตรงนี้รัฐก็เอามาบีบ ช่วงหลังมาก็มีทหารเข้ามาทำเรื่องยาเสพติด ก็พยายามจะเคลียร์ให้ขาวสะอาดที่สุด“
คู่จง บอกว่า การไม่มีสัญชาติทำให้พวกเขาต้องประสบปัญหาหลายอย่าง ทั้งในเรื่องการทำมาหากิน การเดินทาง รวมทั้งการศึกษา ซึ่งทั้งหมดนำมาซึ่งความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
แม้ว่าปัจจุบันรัฐจะพยายามส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว ทั้งการจัดเทศกาลชิมชา ในเดือนกุมภาพันธ์ การเที่ยวชมวัฒนธรรมของชาวจีนยูนนาน ซึ่งพวกเขายังคงสืบทอดอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน อาหาร บ้านดิน หรือแม้แต่ ‘ม้าล่อ’ สัตว์หายากที่ใช้ในการบรรทุกสัมภาระตั้งแต่เมื่อครั้งยังใช้ชีวิตอยู่ในประเทศจีน
แต่การขาดโอกาสในด้านต่างๆ ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็นแค่ ‘ผู้ถูกท่องเที่ยว’ ซึ่งไม่อาจยืนหยัดได้อย่างแท้จริงในเส้นทางที่รัฐพยายามผลักดัน ขณะเดียวกัน ก็ไม่อาจสลัดภาพเดิมๆ ของการเป็นพื้นที่สีแดงได้หมดสิ้น
บนเส้นทางสายยาเสพติด
จากบ้านรักไทย ลัดเลาะเทือกดอยอันสลับซับซ้อนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน บ้านรุ่งอรุณ ถือเป็นหมู่บ้านถัดมาตามเส้นทางลำเลียงยาเสพติด ก่อนจะเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่บ้านกึ๊ดสามสิบ และผ่านไปยังบ้านสันติชล อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก่อนจะกระจายไปยังพื้นที่อื่นๆ ในประเทศ ในลักษณะเครือข่ายใยแมงมุม
รุ่งอรุณ หรือ บ้านแม่สุยะจีน เป็นหมู่บ้านชาวจีนฮ่อและครอบครัวอดีตทหารจีนคณะชาติอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ปี 2493-2504
“คนกลุ่มแรกๆ เป็นชาวจีนที่อพยพมาพร้อมกับ โหลซิงฮั่ง ผู้นำกลุ่มโกกั้ง กระทั่งเมื่อปี 2517 โหลซิงฮั่งถูกทางการหารไทยส่งกลับพม่า บางส่วนก็กลับไปกับโหลซิงฮั่ง บางส่วนก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ขณะเดียวกัน ก็มีคนจีนจากทางตอนใต้อีกจำนวนหนึ่งอพยพเข้ามาสมทบ ก่อนจะก่อตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2526” เล่าไก่ แซ่หยาง ผู้นำหมู่บ้านรุ่งอรุณ เท้าความ
ด้วยความที่ตั้งบ้านอยู่ท่ามกลางสภาพป่าเขา มีทางเดินเชื่อมโยงถึงชายแดนพม่า ทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมาหมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นที่ฝังตัวของกลุ่มอิทธิพลจากภายนอก กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดได้อาศัยถ้ำและหน้าผาเป็นที่ซ่อนยา ใช้คนในชุมชนเป็นมดงานในขบวนการค้าเสพติด จนที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งพักยาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
"สมัยก่อนเราเหมือนเป็นหมู่บ้านปิด เจ้าหน้าที่ยังไม่กล้าเข้าเลย แต่เราก็ว่าไม่มีอะไรนะ" คนในชุมชนเอ่ยปาก ก่อนจะเล่าถึงความทุกข์ยากที่ต้องอยู่ท่ามกลางอำนาจมืด
“พวกนั้นมีอาวุธ มีอิทธิพล ชาวบ้านส่วนใหญ่จะกลัว ตอนนั้นถึงเราจะอยากปราบปราม แต่มันเป็นกลุ่มใหญ่ ถ้าเราไปปราบปรามกลุ่มย่อยๆ แล้วกลุ่มใหญ่เราไม่ปราบปราม มันอันตราย แล้วชาวบ้านก็กลัวเจ้าหน้าที่อีกด้วย ไม่แน่ใจว่าจะช่วยปกป้องเขาได้” สุเมธ แซ่หยาง หนึ่งในคณะกรรมการบ้านรุ่งอรุณ กล่าว
กระทั่งในปี 2546 เมื่อรัฐบาลประกาศสงครามกับยาเสพติด พวกกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่จึงได้หลบหนีออกไป เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกับทหารเข้ามาจัดรูปชุมชน โดยการตั้งผู้นำและคณะกรรมการชุดใหม่
“กรรมการชุดใหม่ก็คิดว่าเราอยู่ในสังคมมืดมา 30 ปีแล้ว น่าจะอยู่ในที่แจ้งสักที ก็เลยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ช่วยกันปราบปรามยาเสพติด พอทำได้ระยะหนึ่ง ก็มีคนให้ความร่วมมือเข้ามาเยอะ ชาวบ้านก็เห็นว่ามันมีความปลอดภัยดี มีทหารเข้ามาคอยดูแล จริงๆ แล้วส่วนใหญ่เขาจะไม่ค่อยชอบยาเสพติด แต่มันอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เราไปพูดอะไรไม่ได้ ต้องอยู่ไปตามน้ำ“
ไม่นานความร่วมมือระหว่างชาวบ้านกับทางการก็เริ่มบรรลุผล วันที่ 19 กันยายน 2547 เป็นฤกษ์งามที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่า หมู่บ้านแห่งนี้ควรจะสลัดภาพอันน่ากลัวของชุมทางยาเสพติด เพื่อก้าวเข้าสู่วิถีทางใหม่ ในนาม 'หมู่บ้านรุ่งอรุณ' ซึ่งเจตนาจะสื่อความหมายถึง 'การเริ่มต้น'
เส้นทางสายใหม่ของบ้านแม่สุยะจีน จึงเป็นการปรับตัวภายใต้กระแสการท่องเที่ยวเช่นเดียวกับบ้านรักไทย
จุดพักยา และซ่อนตัวในถ้ำใกล้หมู่บ้าน ถูกแปลงเป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์ ขณะที่เส้นทางลัดเลาะเทือกดอยหลุกตอง น้ำตกซู่ซ่า ที่เคยใช้ลำเลียงยาเสพติด ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นเส้นทางเดินป่าที่มีศักยภาพ อาหารและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวยูนนาน ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว
อาหมี่ แซ่หวู่ วัย 71 ปี หญิงชราผู้เดินเท้าทางไกลมาจากมณฑลยูนนานเมื่อหลายสิบปีก่อน เล่าถึงการตัดสินใจในครั้งนั้นว่า “อยู่ที่โน่นหากินลำบาก ได้ยินว่าเมืองไทยอยู่สบาย ก็เลยมาทำไร่ข้าว”
แม้ว่าตอนนี้ไร่ข้าวจะเป็นภาระที่เกินกำลัง แต่แกก็ยังสามารถหารายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการเย็บรองเท้าสวมแบบจีน ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่อาหมี่ใส่มาตั้งแต่ครั้งยังรัดเท้า ตามประเพณีจีนโบราณ
“รัดมา 28 ปี เดี๋ยวนี้ปล่อยแล้ว เท้าโตขึ้นนิดหนึ่ง แต่ที่ทำขายนี่ต้องโตหน่อย เพราะคนไทยเท้าใหญ่” พูดพลาง แกก็สอดเข็มลงไปบนผืนผ้าเพื่อตรึงไว้กับพื้นรองเท้าที่ปูด้วยเส้นฟาง
สำหรับคนที่นี่ แม้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวหรือแม้แต่สินค้าที่เตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือน จะยังไม่สามารถค้ำจุนชีวิตของพวกเขาได้ แต่การอยู่อย่างปลอดภัยจากอำนาจอิทธิพลมืด ก็นับเป็นความมั่นคงในชีวิตที่พอจะหวังได้
ฟื้นฟูด้วยวัฒนธรรม
บนเส้นทางสายเดิม ชุมชนทั้งสี่ซึ่งเคยถูกให้ภาพอย่างคลุมเครือ ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด กำลังเดินหน้าต่อไปสู่การเป็นหมู่บ้านสีขาว แม้ว่าที่ผ่านมาการซ้อนภาพการท่องเที่ยวลงไปในชุมชน จะช่วยเปิดเผยความงดงามของธรรมชาติ และวัฒนธรรมของชุมชนชาวจีนฮ่อ ที่บ้านรักไทย รุ่งอรุณ และสันติชล รวมถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชุมชนลีซูที่บ้านกึ๊ดสามสิบ ให้ปรากฏแก่สายตาคนภายนอก
แต่หลังจากผ่านการสนามทดลองไปได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็รู้ว่าการเป็นสินค้าทางการท่องเที่ยว ไม่ใช่คำตอบ
“ในแม่ฮ่องสอน เราพยายามจะจับใน 4 จุดที่วิเคราะห์กันว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเข้าสู่ขบวนการค้ายาเสพติด นั่นคือ ระบบอิทธิพลภายนอก-ภายในประเทศ ระบบการจัดวางคนในพื้นที่ที่เหมาะสมของเครือข่ายยาเสพติดเอง ระบบเครือญาติ และการปกครองที่ล้มเหลวของฝ่ายทางรัฐของทางไทย” จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร นักวิจัยประเมินสถานการณ์
“เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด คือ การไม่ได้รับสัญชาติไทย ปัญหาหนักตอนนี้อยู่ที่บ้านสันติชล มีชาวบ้านได้รับสัญชาติไทยแค่ 10-20% ตรงนี้ก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อความอยู่รอด เพราะว่าออกจากนอกชุมชนปุ๊บก็โดนตำรวจไถแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอะไรเลย”
ในความเห็นของ จตุพร ผู้ทำงานคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านมานาน เขามองว่า ถ้ายังไม่สามารถตัดปัจจัยที่ผลักดันให้คนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนค้ายาเสพติด ก็ไม่แน่ว่าเส้นทางสายเดิม ซึ่งด้านหนึ่งกำลังปรับตัวเข้าสู่กระแสการท่องเที่ยว จะถูกถากถางมาใช้โดยกลุ่มอิทธิพลอีกเมื่อไหร่
“เราเลยคิดโครงการวิจัยเลียนแบบกระบวนการค้ายาเสพติด ทำใน 4 ชุมชน รักไทย สันติชล รุ่งอรุณ จะทำในประเด็นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่วนที่กึ๊ดสามสิบ ซึ่งเป็นคนลีซู จะเป็นเรื่องของภูมิปัญญาท้องถิ่น เรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องสมุนไพร หมอเมือง พิธีกรรม” เขาอธิบายเนื้อหาของงานที่กำลังทำ ในฐานะผู้ประสานงานโครงการวิจัย
ถึงแม้จะเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก แต่ด้วยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐ นักพัฒนาเอกชน และผู้นำชุมชน 'โครงการวิจัยการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติด จ.แม่ฮ่องสอน' ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.ภาค) ซึ่งมี พันโทปิยะวุฒิ โลสุยะ รองผู้บังคับกองพันทหารที่ 174 เป็นหัวหน้าโครงการ จึงเป็นเครื่องมืออย่างใหม่ที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะช่วยเสริมความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวบ้านในครั้งนี้
สำหรับตัวแทนเยาวชนบ้านรักไทยอย่าง 'คู่จง' ซึ่งได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยด้วย เขามองว่า การนำอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละชุมชนจะใช้ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม โดยกิจกรรมการท่องเที่ยวน่าจะเป็นส่วนเสริมให้ชาวบ้านได้ทำงานร่วมกัน
"การท่องเที่ยวเราก็มองว่าเป็นจุดแข็ง ชาวบ้านเคยประชุมกัน เพราะว่าก่อนหน้านี้เราประสบปัญหาการท่องเที่ยวมาก เพราะผลประโยชน์ยังไปตกกับคนบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้ชาวบ้านค่อนข้างมีอคติกับหน่วยงานรัฐที่ให้ความช่วยเหลือ และรู้สึกไม่ดีต่อหน่วยงานรัฐที่มาเอาเปรียบ เช่น งบประมาณโครงการชงชา ชาวบ้านไม่ได้เป็นคนทำ ชาวบ้านจัดสถานที่ ขายตั๋วอาหาร หลังจากที่งานเสร็จแล้ว ตั๋วก็ขายไปแล้วแต่เงินไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ เราทำงานทุกอย่าง แต่ไม่ได้อะไรกลับมา เงินค่าอาหารเป็นหน่วยงานราชการบางกลุ่มไปขาย เราก็ขาดทุน" คู่จง เปิดใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
ดังนั้น ในความเห็นของเขา ไม่ว่ารัฐจะส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร หรือสนับสนุนให้ชุมชนเหล่านี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด ก็คือ การมีส่วนร่วมในฐานะเจ้าของพื้นที่และการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง
ส่วนภูมิคุ้มกันที่จะทำให้ไม่หวนกลับไปในเส้นทางเดิม ย่อมขึ้นอยู่กับความรักและหวงแหนวัฒนธรรมของตนเอง เช่นเดียวกับการสร้างการยอมรับจากภายนอกถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่าง
และหากว่าเป้าหมายร่วมกัน คือ การเป็นชุมชนสีขาว ...ณ ทางแยกนี้ ถือได้ว่าการเดินทางไกลของพวกเขาใกล้จะถึงปลายทางแล้ว
กรุงเทพธุรกิจ 4 มีนาคม 2548
ที่มา : ชุติมา ซุ้นเจริญ
อ่านเรื่องราวของชุดโครงการวิจัยที่
ISBN 978 - 974 -7492-80-4
ผู้เขียน : จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2550
สวัสดีครับ
เห็นเปลี่ยนรูป นึกว่าพระเอกหนังจีนที่ไหน อิๆๆ
ยาเสพย์ติดเป็นตราบาปของชาวเขามานานทีเดียว
ดูหนังไทยรุ่นก่อนๆ พูดถึงชาวเขาก็ไม่พ้นเรื่องยา
อ่านแล้วก็อบอุ่นในใจครับ
อ้อ หนังสือเล่มนี้สั่งซื้อจาก สกว. ใช่ไหมครับ
พี่
เป็นบทความใน กรุงเทพธุรกิจ ครับ ผมคัดลอกมาเพื่อเชื่อมกับหนังสือที่ผมเขียน
ใช่ครับหนังสือสั่งซื้อที่ สกว. แต่ไม่ต้องสั่งหรอกครับ
หากพี่มาเยี่ยมผมที่ ปาย จะให้ฟรีครับ พร้อมเลี้ยงกาแฟ ม็อคค่า ที่ คอฟฟี่อินเลิฟ จิบกาแฟแกล้มเมฆหมอกครับผม
ขอบคุณครับ
จาก พระเอกหนังจีน อิอิ
สวัสดีเอก
ชาวจีนยูนนานเป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์ที่น่าเห็นใจ และน่าสนใจเป็นพิเศษครับ(โดยเฉพาะคนที่ถูกกุมหัวใจไปโดยสาวจีนยูนนานเช่นอ้าย)
ชาวจีนยูนนานแถวดอยแม่สลอง มีชีวิตความเป็นอยู่ดี ได้รับการเกื้อกูลจากพี่น้องจากไต้หวันหลายอย่าง
แต่มีชุมชนชาวจีนฮ่ออีกหลายที่ที่พบว่ามีความลำบากยากเข็นไม่ต่างจากพี่น้องชนเผ่าอื่นบนที่สูง เคยพบเห็นความลำบากตอนที่พวกเขามาโรงหมอสวนดอก คนคู่ใจผมต้องเข้าไปดูแลช่วยเหลือตลอด บางคนก็เอาเป็ดเอาไก่มาตอบแทน
แต่ชุมชนจีนยูนนานที่ปายยังไม่มีโอกาสไปสัมผัสครับ คงมีโอกาสสักครั้ง
สวัสดีครับ อ้าย เปลี่ยน
ยูนนานที่สันติชลเป็น ก๊กมินตั๋ง กลุ่มเดียวกับ แม่สะลองครับ และที่แม่ฮองสอน ทั้งสามชุมชนก็มาจากที่เดียวกัน เป็นจีนฮ่อ "มาลีปา"
ยอมรับว่า สาวยูนนานสวย เด็ดขาดมากครับ
วันที่ ๘ ผมก็จะไปนอนที่ บนดอยแม่สะลอง กะว่าจะไปเยี่ยมเยียนพี่น้อง และเที่ยวชมประวัติศาสตร์ชุมชนให้เข้มข้น
ช่วงนี้ผมขอพักผ่อนยาวครับ
มีโอกาสมาแอ่วปายครับผม
ว้าววว...หลานอาเอก ท่าเท่ห์เสียด้วยสิครับ
ขอบคุณครับที่คิดถึง ที่บ้านอาเอกอากาศหนาวเย็นมากเลยครับ ตอนนี้ก็สวมหมวก สวมถุงเท้า ผ้าพันคอ ที่กำแพงเพชรเป็นยังไงบ้างเอ่ย
เก่งจังครับ กินผักเยอะๆนะครับ
อย่าลืมทานปลาจะได้บำรุงสมอง หลานน๊อตจะได้เรียนเก่งๆไงครับผม
สวัสดีค่ะ
- แหมอยากไปเยี่ยมที่ปาย
-ได้อ่านหนังสือ - กินกาแฟฟรี
- อิอิ
- ถ้าไม่มีใครซื้อชาวเขาก็คงไม่ปลูกเนอะ
- บางทีนึกคิดสับสน เราหรือเขากันแน่ที่ไม่เข้าท่า...
- เอาแต่ลอยเท้งเต้ง
สวัสดีครับ คุณ นาง พรรณา ผิวเผือก (ไม่มีชื่อกลาง)
มาปายครั้งเดียวคุ้มเลยครับ
มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนได้ครับผม
มีหนังสือ พาไปจิบกาแฟ พร้อมเป็นไกด์ที่น่ารัก
ตัดสินใจด่วน !!!
อิอิ