หลักการสร้างบุญบารมีที่ไพศาล มีหลักอย่างไร ?


ทุกคนไม่ผิดหวัง ! ทุกคนทำงานได้ ! กว่าเราจะแก่ชรา บารมีธรรมเกิดแก่ท่านปานใด ? นี่คือกำไรชีวิต ! อย่าไปทำตอนแก่ เพราะตอนแก่ เราจะได้เตรียมตัวตาย ตอนแก่เราทำอะไรไม่ได้ ขัดข้องไปหมด ร่างกายไม่อำนวยแล้ว ใครคิดทำความดีตอนอายุมาก ถือว่าคิดผิด ! ถือว่าวางแผนชีวิตผิด ! เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ? ขึ้นชื่อว่าความตายแล้วไม่แน่นอน จะตายเมื่อไร ? เรารู้ไม่ได้ วิธีฉลาดก็คือ ทำเสียแต่วันนี้ สร้างบารมีตั้งแต่วันนี้

ผมขอยกเนื้อหาที่สำคัญจากหนังสือ แนวเดินวิชาหลักสูตรมรรคผลพิสดาร 2 ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยคุณลุงการุณย์ บุญมานุช มาให้ท่านอ่านเพิ่มเติม และจะได้รู้ว่าตำราชั้นสูง มีไว้ให้ศึกษา ไม่ใช่เอาไว้เผา เหมือนตำราทางโลก หนังสือเรียนปริญญาเอก เรายังเอามาอ่านได้ แต่จะเข้าใจเพียงไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเราไม่โง่มากขึ้นแน่นอน

เรามาเริ่มกันเลยนะครับ

หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า การสร้างบารมีต้องหมั่นสะสม ตั้งแต่เราเป็นเด็ก เลื่อนสู่ความเป็นหนุ่ม ช่วงนี้เราได้บารมีไปแล้วส่วนหนึ่ง ท่านว่าชีวิตของเราไม่เป็นหมัน แม้เราจะเป็นเด็ก เราก็ทำงานตามที่ผู้ใหญ่เขามอบหมายไป เขาให้ทำอะไร ? เราก็ทำตามเขาไป จะเป็นผู้นำเสียทีเดียว ยังไม่ได้ เพราะความเป็นเด็กนั่นเอง ครั้นเราสู่ความเป็นหนุ่ม ลักษณะผู้นำฉายแสง เราเป็นผู้นำได้เต็มตัว แล้วบัณฑิตทั้งปวงที่เดินทางไปพบข้าพเจ้า ต่างตกใจกันหมดว่า ทำไมพวกเขาจึงทำความสำเร็จได้อย่างที่พวกเขาเองก็คาดไม่ถึง !

     บางท่านไปสอนให้เด็กนักเรียนทั้งหลาย เห็นธรรมเป็นจำนวนร้อยจำนวนพัน “ผมทำไปได้อย่างไร ?” นี้คือคำถามที่บัณฑิตถามข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ยังไม่ตอบคำถามให้เขาทราบ จะรอจังหวะให้เขาทำได้เด่นกว่านี้อีกหน่อย ข้าพเจ้าจึงจะชี้แจงให้ทราบ

     บางท่านพอเขาสอนเบื้องต้นได้ ก็สามารถแก้โรคได้เลย มีบัณฑิตท่านหนึ่ง ขออนุญาตออกชื่อด้วย คือคุณเกษมศรี ศรีภา เขาสามารถแก้โรคให้แก่เด็กน้อย เด็กน้อยคนนี้เกิดมาแล้วพูดไม่ได้ ทำอย่างไรหนูน้อยคนนี้ก็พูดไม่ได้ ไปหาหมอมามากแล้ว หนูน้อยก็ยังพูดไม่ได้อยู่ดี คุณเกษมศรี ศรีภา ไปพบหนูน้อยคนนี้เข้า จึงเข้าแก้ไขด้วยความรู้วิชาธรรมกายที่ข้าพเจ้าสอน ปรากฏผลเป็นอัศจรรย์ว่า หนูน้อยคนนี้พูดได้แล้ว คุณเกษมศรี เขาดีใจ ! เล่าเหตุการณ์ให้ข้าพเจ้าฟัง เขาถามข้าพเจ้าว่า ทำไมเขาทำได้ปานนี้เชียวหรือ ? ข้าพเจ้าก็ย้อนถามเขาว่า “หนูไปวกวนอยู่ที่ไหน ? กว่าจะมาพบลุง ขาดทุนบารมีไปแล้วแค่ไหน ? รู้ตัวไหม ? ถ้าหนูมาหาลุงตั้งแต่ต้น เพื่อนของหนูอีกกี่มหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไร ? เขาเหล่านั้นยังหนุ่มสาว เป็นกำลังของบ้านเมือง ถ้ามาหาลุงก่อนเพียงปีเดียว เอาวิธีการของลุงไปทำ ป่านนี้เมืองไทยก็จะมีคนเห็นธรรมทั่วประเทศไปแล้ว” เขาก็ตอบว่า เพิ่งอ่านตำราของข้าพเจ้า เพิ่งทราบเรื่องของข้าพเจ้า

     ก็เล่าเรื่องย่อให้ฟัง เพราะในเดือนหนึ่งๆ พวกเขาจะนัดไปพบข้าพเจ้า ๑ วัน เพื่อรายงานผลงานสอนของเขา ทุกสายรายงานผลงาน เราจะทราบว่า บัณฑิตหนุ่มคือกำลังของชาติ พอเขารู้วิธีสอน เขารู้เทคนิคการสอน เพียงไม่กี่วัน เขาได้เห็นศักยภาพในตัวของเขา จนตัวเขาเองตกใจ ข้าพเจ้าก็ได้แต่สอน เพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์ในการสอน ในช่วงชีวิตของข้าพเจ้ามีตำแหน่งทางราชการเป็นศึกษาธิการอำเภอในต่างจังหวัด พระสงฆ์ท่านจัดกิจกรรม มีการรวมตัวของพระสงฆ์ ท่านมักเชิญไปสอนกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็รับใช้ ไปให้เกือบทุกจังหวัดเป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี ดังนั้น เมื่อบัณฑิตทั้งปวงไปหา ข้าพเจ้าก็บอกวิธีให้เขาได้ศึกษาวิธีสอน พอเขาไปสอนจริง ปรากฏผลว่าเขาทำได้อย่างดี ดังที่เล่ามานี้ เป็นเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น

     ทุกคนไม่ผิดหวัง ! ทุกคนทำงานได้ ! กว่าเราจะแก่ชรา บารมีธรรมเกิดแก่ท่านปานใด ? นี่คือกำไรชีวิต ! อย่าไปทำตอนแก่ เพราะตอนแก่ เราจะได้เตรียมตัวตาย ตอนแก่เราทำอะไรไม่ได้ ขัดข้องไปหมด ร่างกายไม่อำนวยแล้ว ใครคิดทำความดีตอนอายุมาก ถือว่าคิดผิด ! ถือว่าวางแผนชีวิตผิด ! เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ? ขึ้นชื่อว่าความตายแล้วไม่แน่นอน จะตายเมื่อไร ? เรารู้ไม่ได้ วิธีฉลาดก็คือ ทำเสียแต่วันนี้ สร้างบารมีตั้งแต่วันนี้

     ดูตัวอย่างคณะบัณฑิตที่เดินทางไปหาข้าพเจ้า เขาทำได้ผล ! เขามีอภินิหาร ! เขาทำได้ ! ไปตกปลักจมโคลนอยู่ที่ไหน ? เสียเวลาไปแล้วไม่รู้เท่าไร ? ไปเป็นผู้รับใช้หาเงินให้เขา ไปล้างส้วมล้างห้องน้ำให้เขา แล้วได้อะไร ? หัวบุญไม่เอา ! ไปเอาหางบุญ ! แล้วเขาก็เอาเงินนั้นไปผันกันเล่น หนังสือพิมพ์รายงานข่าวให้พวกเราทราบทุกวัน เราก็เห็นอยู่แล้ว ท่านเป็นบัณฑิตไปทำงานอย่างนั้นทำไม ? เราต้องเป็นวิปัสสนาจารย์ ดังที่ข้าพเจ้าทำให้ดู คนมีกิเลสอย่างเรานี้แหละทำได้ ! และทำได้อย่างดีด้วย ทั้งข้าพเจ้าและคุณบัณฑิตทั้งปวง เราต่างก็มีกิเลสพอๆกัน แต่เราทำได้ ! อยากถามว่าพระอรหันต์ทำได้ไหม ? พระอรหันต์ปลอมทั้งนั้น ! ไปเชื่อเขาอยู่ได้ มีกิเลสมากอย่างเรานี่แหละทำได้ดีกว่าด้วย พวกเราไม่รวมตัวกันเอง

     เรื่องความรู้นั้น ข้าพเจ้าไม่ขัดสน ไม่กลัว แต่กลัวเรื่องสถานที่ เรื่องการเงิน เรื่องอุปกรณ์เครื่องใช้ และการให้บริการ เวลานี้เกิดปัญหาแล้ว บ้านของข้าพเจ้าเล็กคับแคบ รับพวกเราไม่ได้ เพราะสถานที่ไม่พอกัน ท่านโทร.ไปข้าพเจ้าต้องปฏิเสธ เพราะขัดสนตามที่บอกนี้ อย่าว่าข้าพเจ้าเลย บ้านข้าพเจ้ามีข้าพเจ้ากับภรรยาเท่านั้น ข้าพเจ้าเสียใจในความขัดสน ข้าพเจ้าจึงรับใช้สังคมไม่ถนัด ที่ทำได้อยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะบริการของคุณชูชัย ศรีสุชินวงศ์ เขาขยายห้องให้ ถ้าไม่มีห้องนี้ วันแห่งความอัศจรรย์ก็ไม่มีเรื่องจะเล่า ทุกเดือนเราจะได้ยินผลงานอัศจรรย์ของวิปัสสนาจารย์ เป็นเรื่องมงคลหู เป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึง แต่ท่านทั้งหลายทำได้ คุณบัณฑิตหนุ่มเขาทำได้ทุกคน ที่ว่าอัศจรรย์ก็คือว่า เขาทำได้อย่างคิดไม่ถึง ท่านบัณฑิตดีใจรู้ค่าของข้าพเจ้า ให้ความเชื่อถือแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็บอกว่าเรามีกิเลสเท่าๆกัน วิชาธรรมกายต้องให้ถูกวิธีของเขา จึงจะเป็น ให้ท่านทั้งหลายก็ได้พิสูจน์แล้วด้วยตัวของท่านเอง

     เรื่องปราบมารนั้น ท่านยังไม่ได้พิสูจน์ให้เป็นเรื่องเป็นราว ต้องรวมผู้รู้ทั้งหมดให้เป็นคณะ ข้องใจอะไรก็ถามได้ เพราะข้าพเจ้ามีสมุดบันทึกเหตุการณ์ และได้บันทึกความรู้ไว้เป็นหลักฐาน ขณะนี้กองโตมากแล้ว เพียงแต่เปิดดูสารบาญของเล่มใด แล้วค้นดูบันทึก ก็ชี้แจงได้หมด ไม่ยากเลย ขณะนี้มีท่านใดปราบมารได้หรือไม่ ? ตอบว่าไม่มี ! ถ้ามี ! ธาตุธรรมท่านต้องบอกให้ข้าพเจ้าทราบแล้ว ข้าพเจ้าปราบมารมาแล้ว ๑๗-๑๘ ปี ยังหารุ่นน้องที่มีฝีมือปราบมารไม่เจอ แม้ถึงวันนี้ยังไม่พบเขาผู้นั้น

     เวลานี้หาคนที่มีความรู้วิชาธรรมกาย ที่ใช้การได้ หายากแล้ว ! บางท่านทำท่าดีในเบื้องต้น แต่พอดูไป คือดูความรู้ที่เขาทำอยู่ จะเป็นความรู้ที่มารเขาหลอกรู้ลวงญาณไปทั้งนั้น เป็นความรู้ที่มารเขาเข้าบังคับรู้บังคับญาณทั้งนั้น ใช้การไม่ได้ น่าเสียใจมาก น่าจะหยิบตำราขึ้นมาอ่านทบทวนดูบ้าง ทำไปทำมาความรู้นั้นกลายเป็นว่า เป็นผลดีแก่มารเขาไป

     ควรคิดไว้เสมอว่า พื้นฐานความรู้สำคัญมาก ต้องหมั่นอ่านสูตรหมั่นทบทวน เหมือนประเพณีฟังปาฏิโมกข์ หมายความว่า พระสงฆ์ท่านมีประเพณีทบทวนวินัยของท่าน แต่ความรู้วิชาธรรมกายสำคัญยิ่งกว่านั้น เป็นเรื่องละเอียดของใจที่มารเขามียุทธศาสตร์หุ้มเคลือบใจของเราด้วยวิชาต่างๆ มากมาย หากเราไม่วางรากฐานความรู้ให้มั่นคง มารเขาก็ยิ้มรับว่า เรานี้คืออาหารอันโอชะของเขา ความรู้วิชาธรรมกายทุกหลักสูตร ข้าพเจ้าทำไว้แล้วอย่างครบถ้วน ขอเชิญท่านกอบโกยเอาเถิด

     จงจำคติธรรมของหลวงพ่อไว้ ท่านกล่าวแก่ แม่ชีถนอม อาสไวย์ ว่า “เรียนวิชาธรรมกาย ก็เหมือนเราขี่เสือ ลงจากหลังเสือเมื่อไร ? เสือมันกัดทันที !” คำว่า “ลงจากหลังเสือ” ก็คือเราละเลยต่อการเดินวิชานั่นเอง ไม่เดินวิชาวันเดียว ความรู้ของเรารวนเรแล้ว

หนังสือเล่มนี้แต่งมาหลายปีแล้วครับ ข้อมูลบางอย่างไม่ทันสมัย แต่ก็พอเป็นแนวทางให้เราได้

พิจารณาเอาเองนะครับ

หมายเลขบันทึก: 149373เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2007 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 มีนาคม 2012 17:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

การรบเมื่อไหร่ครับที่จะสิ้นสุด จะมีหนทางไหม เราปราบเขา แล้วเขาจะปราบเราไหม บางทีได้ฟังการรบทั้งทางโลกทางธรรม ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อย ทุกอย่างย่อมมีกลลวง อยากให้ทุกคนหยุดรบ หันมานั่งสมาธิอย่างเดียวโดยไม่ต้องทำอะไรเลย จะเป็นไปได้ไหมคับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท