..ได้รับเมล์ส่งต่อมาฉบับหนึ่ง......
เนื้อหาของเมล์เป็นบทเรียนของชีวิตได้
ชื่อเรื่อง..เจ้าลูกกบตัวเล็ก
มีกลุ่มลุกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่งได้จัดการแข่งขันปีนเสาไฟฟ้าแรงสูงและมีกลุ่มชนชาวกบมากมายๆมาชมและเชียร์การแข่งขันในครั้งนี้การแข่งขันได้เริ่มขึ้นและไม่มีชนชาวกบไหนที่จะเชื่อว่ากบตัวเล็กๆเหล่านี้จะสามารถปีนขึ้นเสาไฟฟ้าจนถึงยอดเสาไฟฟ้าได้..มีเสียงกล่าวลอยๆขึ้นมาเป็นระยะว่า“ไม่มีทางที่ใครจะปีนขึ้นไปถึงยอดเสาไฟฟ้าได้หรอก..เพราะมันเป็นสิ่งที่ยากลำบากขนาดนั้น"และพุดว่า.."ไม่มีใครประสบความสำเร็จกับการปีนไปถึงยอดเสาไฟฟ้าได้หรอก”เจ้าลูกกบเริ่มหล่นร่วงมาที่ละตัว..สองตัว....ยกเว้นเจ้าลูกกบตัวหนึ่งยังคงปีนเสาอย่างมุ่งมั่น..สูงขึ้น..สูงขึ้นฝูงชนกบต่างตะโกนร้องบอกว่า..”.ปีนขึ้นไปไม่ได้หรอกมันยากเกินไปที่จะทำได้”กลุ่มลูกกบต่างเหนื่อยอ่อน..ท้อแท้...และ..ยอมแพ้..แต่มีลุกกบตัวเดียวที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาปีนขึ้นไป
สูงขึ้นไปเรื่อยๆ...เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้
เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน..ลูกกบตัวอื่นๆต่างยอมแพ้กระโดดลงมาจากเสาไฟฟ้า..และคงมีลูกกบตัวเล็กๆตัวเดียวที่ไม่ยอมแพ้..ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลังมันก้อสามารถปีนขึ้นถึงยอดเสาไฟฟ้าได้สำเร็จฝูงชนกบทุกตัวอยากรู้ว่าเจ้าลุกกบตัวเล็กนี้สามารถทำได้อย่างไรลุกกบคู่แข่งขันก็อยากจะทราบว่าเจ้าลูกกบตัวเล็กนี้มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสาอันเป็นเป้าหมายจนประสบความสำเร็จได้อย่างไร....คุณ..ทราบหรือไหมว่า....ทำไมเจ้าลุกกบตัวเล็กๆจึงสามารถปีนขึ้นสู่ยอกเสาได้สำเร็จ ...ปรากฏว่า..เจ้าลุกกบผู้ชนะการแข่งขันนั้น..เป็นลูกกบหูหนวก ..คุณคิดอย่างไรบ้างกับ..การเป็นผู้หูหนวก... เรื่องนี้จะบอกให้กับเราว่าอย่าไปฟังคำพุดที่พูดในด้านลบ..หรือการมองในแง่ลบของผู้อื่นเพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝันและความหวังความปรารถนาในหัวใจเราออกไปให้ระวังพลังในคำพูดเสมอ..เพราะทุกสิ่งที่ได้ยินหรือได้อ่านจะส่งผลต่อการกระทำของเราเสมอเพราะฉะนั้น..ตลอดเวลาขอให้คิดบวก...และเหนือจากนั้นจงทำเป็นคนหูหนวกต่อคำพูดของคนที่บอกว่าคุณไม่สามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้ให้คิดเสมอว่าคุณสามารถทำให้เป็นจริงได้
อ่านแล้ว..คุณรู้สึกอย่างไรบ้างค่ะ
ฉันอ่านแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่งในอดีต
เป็นเรื่องของพ่อฉันเองท่านป่วยเป็นมะเร็งที่ปอด
ตอนนั้นกำลังเป็นในระยะเริ่มแรกเพิ่งเจอ
ท่านไม่สบาย..ไอ..มีเลือดออกมาเป็นลิ่มเลือด
ก้อพาท่านไปหาบอกตรวจเช็คคุณหมอบอกว่าเจอก้อนดำๆติดที่ปอด
ท่านบอกให้คุณพ่อว่าจะผ่าตัดเอาก้อนนั้นออกมาขอให้คนป่วยรักษาร่างกายให้แข็งแรง..คุณพ่อทำตามคำแนะนำของคุณหมอร่างกายแข็งแรงจนถึงวันที่คุณหมอกำหนดการผ่าตัด..ก่อนวันผ่าตัด1วัน..มีญาติมาเยี่ยม.พวกญาติมาคุยกันเรื่องอาการ
ป่วยของคุณพ่อแล้วบอกว่าผุ้ป่วยมะเร็ง..ถ้าโดนมีดหมอผ่าตัดแล้วจะไม่หาย
เชื้อจะรุกลามเร็วกว่าเก่า.ทำให้ตายเร็วขึ้นต้องมีวิธีการรักษาแบบโบราณ
โดยให้หมอชาวบ้านเอามีดหมอลงอาคมมาสับอออกทางด้านหลัง..มีคนทำแบบนี้
หายเป็นปกติหลายคนแล้ว..บอกให้คุณพ่อไม่ต้องผ่าตัดให้ไปรักษาแบบพื้นบ้าน คุณพ่อท่านก็เชื่อตามคำญาติไม่ยอมเซ็นต์ผ่าตัดแล้วออกจากโรงพยาบาลทันทีพวกเราลูกๆพากันทัดทานขอให้ผ่าตัดที่โรงพยบาบาลท่านไม่ยอมเชื่อคำขอให้ญาติพาหมอเมืองมารักษาแทน.หมอเมืองเอามีดมาสับกลางหลังเป็นแผลเป่ามนต์เอาใบไม้มาประคบที่แผลทำได้ประมาณ 1 อาทิตย์ แผลอักเสบรุกลามมีหนองออกมาจากแผล.ขอท่านไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอม.ในที่สุดเชื้อลุกลามไปถึงอวัยวะส่วนต่างๆภายในระยะเวลา 6 เดือนท่านก็เสียชีวิตเพราะคำคน.ที่บอกเล่า..ถ้าไม่ฟังคำคน.ท่านอาจคงมีชีวิตอยู่...ได้อีกนานเรื่องนี้อาจไม่คล้ายเหตการณ์ของกบแต่.การฟังคำใครเล่าลือมานั้น..อาจทำให้เราเสียโอกาสที่ดีต่อชีวิตได้
แวะมาร่วมคิดค่ะ
* เรื่องนี้น่าจะขึ้นอยู่กับแรงขับ และวิจารญาณ นะคะ
สวัสดีครับคุณ ทิพอิน..
เรื่องมะเร็งหากมีกำลังใจมันไม่ร้ายแรงเลยครับ...
ขอให้คิดแต่เรื่องดีๆ ให้ร่างกายหลั่งสารความสุขหรือสารเอนโดฟีนมากๆ ทุกวัน ร่างกายจะต้านสารก่อมะเร็งมให้ลุกลาม
รักษาโดยธรรมชาติบำบัดครับ คือให้ผู้ป่วยลงน้ำเย็นและร้อนสลับกันครับ ร่างกายจะปรับตัวให้เข้ากับร้อนและเย็นสลับกันใช้เวลาวันละ ครึ่งชั่วโมง ทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะผัก และงดอาหารพวกโปรตีนครับพร้อมกับออกกำลังกายพอเหนื่อย ทำอย่างนี้แล้วเจ้ามะเร็งก็จะหยุดหรือจะฝ่อไปในที่สุด
ขณะนี้มีผู้ป่วยกำลังไปอบรักษาที่สวนชาปิ้งหินไปอยู่สองราย หมอบอกว่า 6 เดือนต้องกลับบ้านเก่า แต่นี่เลยมาเกือบ 9 เดือนก็ยังมีชีวิตมารักษาทุกวันเพราะเขามีกำลังใจ และรักษาสุขภาพมิให้ทรุด พร้อมกับได้ความร้อนและเย็นสลับกันทำให้ร่างกายเขาต้องปรับตัวอยู่เสมอ
กำลังใจครับเป็นยารักษามะเร็งดีที่สุด
ด้วยความปรารถนาดีจาก..ลุงหนาน...พรหมมา