หรือไม่รักกัน


การแต่งงานและการหย่าร้าง

สอนคุณธรรมอย่างไร

ให้มีความพอเพียง

บทที่ 12/12

คุณธรรมของการแต่งงานและการหย่าร้าง                                                                                   

จุดประสงค์ :   เพื่อรู้ รัก และฝึกจนเคยชิน

นิทานคติ  เรื่อง : หรือไม่รักกัน           

ฌัชชา หญิงสาวสดใสเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี จากคณะที่เป็นที่นิยมคณะหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ มีหลายบริษัทมาติดต่อทาบทามให้เธอไปทำงานด้วย แต่ฌัชชากลับปฏิเสธ เพราะว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับเพื่อนชายที่คบหาดูใจกันมาตั้งแต่เธอเรียนอยู่ปีหนึ่ง วิทยา เขาเป็นคนที่ดี จริงใจและดูแลเธอมาตลอด เมื่อเธอพาเขาไปให้พ่อกับแม่รู้จัก เขาก็เป็นที่โปรดปานของทั้งสอง ด้วยความยึดมั่นในความรักที่มีต่อกัน ทั้งคู่จึงวางแผนที่จะแต่งงานกันเมื่อเรียนจบ ตอนนี้วิทยาได้งานซึ่งต้องไปอยู่สาขาที่ต่างประเทศ ฌัชชาก็รู้สึกอยากไปอยู่ที่นั่นเช่นกัน ดังนั้นเมื่อแต่งงานกันแล้วทั้งคู่ก็ย้ายไปประเทศนั้นทันที           

ครึ่งปีให้หลัง ฌัชชากลับมาเยี่ยมบ้าน เธอบอกกับพ่อและแม่ว่ามีความสุขดี ที่ต่างประเทศสะดวกสบาย และวิทยาก็ได้รับเงินเดือนสูง ทำให้เธอไปเที่ยวที่ต่างๆ ได้หลายแห่ง ฌัชชาบอกว่าจะอยู่กับพ่อแม่ซัก 3 เดือน นั่นทำให้พ่อกับแม่สงสัย คนที่เพิ่งแต่งงานกันไม่นาน ทำไมจึงจะแยกจากกันถึง 3 เดือน แต่เห็นว่าลูกเพิ่งกลับมา จึงรอคอยเวลาอันสมควร            

เมื่อเห็นว่าฌัชชาดูสบายใจดีกับการกลับมาอยู่เมืองไทย ในมื้อค่ำของวันหนึ่ง พ่อกับแม่จึงได้ถามถึงเรื่องของทั้งคู่ ครั้นแรกฌัชชาก็ตอบอย่างเลี่ยงๆ แต่ไม่นานเมื่อพ่อเอ่ยว่าดูฌัชชาไม่ค่อยมีความสุขนัก ก็ทำให้เธอร้องไห้และเล่าเรื่องราวให้ฟัง และว่าทั้งสองแยกทางกันแล้ว และอีกไม่นาน วิทยาก็จะมาเมืองไทย เพื่อที่จะหย่ากัน พ่อและแม่ต่างพากันปลอบใจลูกสาวและขอให้คิดตรองให้ดี เพราะว่าทั้งสองรักกันมาก ฌัชชานิ่งไม่ตอบและขอตัวไปพักผ่อนก่อน            

พ่อและแม่นั่งเล่นต่อในห้องนั่งเล่น พ่อเปิดโทรทัศน์ดูรายการทั่วไป แม่ยังคงคิดถึงเรื่องของฌัชชาอยู่ จึงเอ่ยกับอีกฝ่ายว่า

ทำไมเด็กสมัยนี้จึงรักๆ เลิกๆ กันง่ายจัง นี่เพิ่งแต่ง ถ้าสมัยก่อนก็ต้องว่าหม้อข้าวยังไม่ทันดำ ก็จะหย่ากันเสียแล้ว หรือเพราะว่าอย่างไรละ

พ่อหันมามองที่แม่ แล้วก็ตอบว่า

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วหละแม่ สมัยนี้เรื่องหย่าร้างนะเป็นเรื่องเล็กๆ พ่อเห็นบางรายงานนะบอกว่าอัตราการหย่าร้างของบางประเทศสูงจนน่าตกใจทีเดียว และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นในทุกประเทศด้วยทีเดียวนะพ่อสังเกตว่าแม่ดูเหมือนจะสนใจ จึงเล่าต่อไปว่าคนเรานะ พอแต่งงานกันก็วาดหวังว่าอีกฝ่ายจะดี ครอบครัวจะอบอุ่น และก็ไม่มีใครหรอกแม่ ที่จะบอกว่าแต่งแล้วก็จะหย่านะ ทุกคู่ต่างก็อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่จนเฒ่านะ แต่ในความเป็นจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น หลายครอบครัวเลิกร้างกัน เด็กๆ ก็มีปัญหาเพราะพ่อแม่แยกทางกันมาก เป็นปัญหาของสังคมด้วย ทำไมนะหรือ ก็เมื่อก่อน การแต่งงานนะ เราก็มักจะดูความเหมาะสมด้วยใช่ไหม และมาตรฐานทางสังคมนะไม่ยอมให้หย่าร้างง่ายๆ ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ หลายคู่แต่งงานกันด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ว่ารักกัน บางทียังไม่ทันเข้าใจหรือศึกษาอีกฝ่ายอย่างถ่องแท้ ก็แต่งงานกันแล้ว พอไปอยู่ด้วยกันก็เลยรับไม่ได้ และนั่นก็ทำให้ทะเลาะกันและก็สุดท้าย จบลงที่การหย่าร้างนี่แหละ

แม่ถามขึ้นว่า

 แล้วมีสาเหตุอื่นๆ อีกไหมละพ่อ ลูกเรานะคบกับแฟนเขามาตั้งหลายปี เราก็เห็นกันอยู่แล้วทำไมเขาก็จะหย่ากันละ

พ่อตอบว่า

 มันก็มีหลายสาเหตุนะ อย่างเช่น ผู้หญิงสมัยนี้มีการศึกษาดี โอกาสในการทำงานก็มีมากขึ้น และหลายคนต้องทำงานประจำ บางคนได้เงินเดือนสูงกว่าผู้ชายเสียอีก ก็ทำให้มั่นใจสูงว่าสามารถดูแลตนเองได้โดยไม่ต้องมีผู้ชายไงละ แบบนี้นะมักไม่ค่อยแต่ง แต่ถ้าแต่งก็หย่ากันง่ายๆ ทีเดียวละ บางคู่ก็คาดหวังต่อชีวิตสมรสที่สวยงาม แต่ถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้นก็ทำให้แยกทางกันอีกแหละ เพราะอะไรละ บางทีก็แค่พวกเขาขาดกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน กินข้าวด้วยกัน ดูหนังด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ถ้ามีลูกละช่วยกันเลี้ยงดูหรือเปล่า ถ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โอกาสที่จะเกิดเรื่องทะเลาะกันก็จะเพิ่มขึ้นได้อีกแหละ

แม่พยักหน้าเห็นด้วย พลางกล่าวว่า

โชคดีนะที่คู่ของเราไม่เป็นอย่างนั้น

พ่อยิ้ม แล้วเล่าต่อว่า

 แต่บางคู่ก็แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ยังขาดวุฒิภาวะที่เหมาะสม ความรับผิดชอบน้อย และแน่นอนว่าคงมีฐานะการเงินไม่ดีนัก ปัญหาก็จะเกิดขึ้นตามมาเรื่อยๆ ถ้าพวกเขาไม่รู้จักที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ และต้องใช้เวลาที่จะเรียนรู้กันและกัน ทั้งในด้านความคิด ความเชื่อและอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ซึ่งจะทำให้เข้าใจกันยิ่งขึ้น หลายคู่ทีเดียวแต่งกันไปนานหลายปีก็ยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายชอบสีอะไร แต่ที่เห็นบ่อยๆ นะ มักจะมาจากไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งติดเหล้า อาจจะชอบดื่ม หรือต้องออกงานสังคมบ่อยก็ได้ แต่ทำให้มีปัญหาแน่นอน เพราะว่าตอนเมาอะไรก็เกิดขึ้นได้ คำพูด ท่าทางที่ไม่สุภาพมันก็ออกมา เงินทองที่ทำงานก็หมดไปกับขวดหมด หลายคนใช้เหล้าเพื่อหนีปัญหา แต่จริงๆ แล้วกลับทำให้มันแย่ลงไปอีก ชีวิตคู่ที่เปราะบางอยู่แล้วก็ยิ่งละเอียดกันเข้าไปใหญ่

แม่นิ่งฟัง พลางกล่าวเสริมว่า

 แม่เห็นด้วยกับพ่อนะ ใกล้ๆ บ้านเรานี่ก็เลิกกันเพราะสามีติดเหล้า จนไม่เป็นอันทำงานทำการ อีกฝ่ายทนลำบากด้วยไม่ไหวก็เลิกรากันไป

พ่อเล่าต่อไปอีกว่า

 สมัยนี้คนไม่ค่อยทำตามข้อปฏิบัติของศาสนาด้วยละแม่ ศีลไม่ถือ ก็ทำผิดได้ง่าย พูดจาไม่ดี ก็ยิ่งไปกันใหญ่ พ่อว่าบางทีอาจเป็นเพราะสังคมที่มันรัดตัวก็เลยทำให้ละเลยเรื่องเหล่านี้ การหย่าร้างก็เลยเกิดง่าย เพราะว่าคนไม่ปรองดองกัน ไม่รักไม่ผูกพัน การครองเรือนก็ไม่ครบถ้วน หลายคนแต่งเพราะอีกฝ่ายท้อง อย่างที่แม่เห็น คนดังหลายคู่ท้องก่อนแต่ง แล้วจะอยู่กันยืดแค่ไหนละ สุดท้ายก็เลิกกันอยู่ดี

แม่รำพึงเบาๆ

 แล้วลูกเราละพ่อ เป็นเพราะว่าแต่งเร็วไปหรือเปล่า ถ้าดูกันนานกว่านี้อาจไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้

พ่อตอบว่า

 พ่อว่าไม่เร็วไปหรอก แต่ว่ายังเรียนรู้กันไม่ดีพอ เวลาที่ผ่าน สถานที่ที่ต่าง ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น และถ้าทั้งคู่ไม่ได้เติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กัน ก็จะผ่านประสบการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนกัน และไม่อาจเติมเต็มให้อีกฝ่ายได้ ต้องลดความเป็นตัวตนของแต่ละฝ่ายลงบ้าง ไม่ทำอะไรที่จะทำให้ชีวิตคู่สั่นคลอน พ่อว่าวิทยาอาจต้องทำงานหนัก ดังนั้นพอกลับบ้านก็เอางานมาทำด้วย บางทีก็เครียด และก็ทำให้ขัดเคืองกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ง่าย แต่ถ้าลูกเรารู้จักที่จะโต พ่อว่าทั้งคู่ก็อาจไม่หย่ากันก็ได้ เพราะว่าก่อนที่จะแต่งกัน ทั้งคู่ดูใจกันมานานหลายปีอยู่ ปลูกต้นรักร่วมกันและเรียนรู้ร่วมกัน เมื่อแต่งงานกันก็ใช้ชีวิตร่วมกัน ทั้งเรื่องเงินและเรื่องเวลา อาจยังไม่ลงตัวแต่เดี๋ยวก็น่าจะปรับเข้าที่เข้าทางได้ ถ้าต่างฝ่ายช่วยเติมเต็มกันและกัน ชีวิตคู่ก็จะน่าพึงพอใจ ชีวิตรักนะไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์หรอกนะ แต่เป็นเรื่องของการรักษาสัมพันธภาพระหว่างกันต่างหาก ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย มีคนบอกว่าเซ็กซ์นะทำให้คนแต่งงานกัน แต่จะอยู่กันยืดก็เพราะการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ดีแม้แต่ในเรื่องชีวิตประจำวันนะ การแต่งงานเป็นช่วงที่สดใสที่สุดของชีวิต เพราะว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งทีเดียว ถ้าตัดสินใจถูก ชีวิตก็จะสมบูรณ์พร้อม แต่ถ้าไม่ก็เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ทีเดียว สิ่งที่ต้องคิดของปัญหาของลูกเราก็คือ ถ้าเขาคิดว่าชีวิตของเขาจะเหมือนเดิมแม้จะแต่งงานแล้ว นั่นแปลว่าเขาคิดผิดและไม่พร้อมอย่างยิ่งที่จะแต่งงาน แม่ว่าลูกเราคิดอย่างนั้นไหมละ พ่อว่าไม่ เชื่อเถอะเวลาอาจช่วยให้อะไรดีขึ้นก็ได้

แม่นิ่งคิด และรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างยิ่งที่ได้แต่งงานกับชายคนที่อยู่ข้างๆ และหวังอย่างยิ่งว่าลูกจะพบความสุขของการแต่งงานเช่นเดียวกันเธอ            

ช่วยกันขยายความเพื่อสร้างความเข้าใจ           

๑) ให้ช่วยกันหาคติพจน์และสุภาษิตส่งเสริมการมีชีวิตคู่อย่างมีความสุข

 ๒) ให้ช่วยกันหาคำสอนของศาสนาต่างๆ ที่กล่าวถึงการมีชีวิตคู่อย่างมีความสุข           

ในทั้งสองกรณีให้มีอาสาสมัครรวบรวมบันทึกไว้ เพื่อทำเอกสารแจกให้เก็บไว้ โดยลงวันที่ไว้ด้วย 

ฝึกคุณธรรม            

๑) ฝึกรู้รอบ : เรื่องนี้เหมาะสมสำหรับสอนเรื่องการมีชีวิตคู่อย่างมีความสุขหรือไม่ อย่างไร           

๒) ฝึกแข็งขัน : เราจะทำสิ่งต่างเพื่อให้การมีชีวิตคู่มีความสุขอย่างเหมาะสมได้อย่างไร  มีความมุ่งมั่นที่จะทำแค่ไหน           

๓) ฝึกพอเพียง : การมีชีวิตคู่อย่างมีความสุขอย่างไร จึงเรียกว่าทำได้อย่าง พอเพียง   - อย่างไรเรียกว่าขาด      - อย่างไรเรียกว่าเกิน           

๔) ฝึกความยุติธรรม : การมีชีวิตคู่อย่างมีความสุขที่ดำเนินอย่างยุติธรรม มีอย่างไร ให้ช่วยกันยกตัวอย่าง 

กิจกรรมสันทนาการ

๑.     ให้อาสาสมัคร มาเล่นละคร พ่อแม่ลูก และให้ลองนึกสมมติเหตุการณ์ที่ทำให้ดีใจหรือเสียใจ แล้วเล่นให้เพื่อนๆ ได้ดู   

เอนก สุวรรณบัณฑิต   ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการคุณธรรมและจริยธรรม

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ

เอกสารคุณธรรมและจริยธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

ปรับจากหนังสือ Discovering the Real Me, Universal Peace Federation Edition

หมายเลขบันทึก: 154539เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2007 22:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:39 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ความรักอาจทำให้เราตาบอดแต่ถ้าคบกันนานๆอาจทำให้พบรักที่แท้จริงครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท