นักคิดนักเขียนของพม่าหลายคนได้แสดงความห่วงใยต่อสภาพสังคมชาวพม่า ที่นับวันจะแปรเปลี่ยนไปจากวิถีชีวิตเดิม
พม่าคิดอย่างไรกับการที่แพทย์ทิ้งวิชาชีพ
นักคิดนักเขียนของพม่าหลายคนได้แสดงความห่วงใยต่อสภาพสังคมชาวพม่า
ที่นับวันจะแปรเปลี่ยนไปจากวิถีชีวิตเดิม
บางคนได้ให้แง่คิดในเชิงเตือนสติด้วยกรอบความคิดเก่าแบบสังคมนิยม
อนุรักษ์นิยม และบางทีก็ออกมาในเชิงชาตินิยม
ลูทุเซงวีงเป็นนักเขียนที่มีชื่อคนหนึ่ง
เขาได้เขียนหนังสือแสดงทัศนะของเขา
ในบทปุจฉาวิสัชชนาระหว่างครูกับศิษย์
เพื่อสะท้อนค่านิยมปัจจุบันที่กำลังเป็นปัญหาให้ต้องฉุกคิดหลายเรื่อง
หนังสือของเขาเล่มนี้มีชื่อว่า “ใจที่ละอาย” ในบทแรก
เขาเริ่มด้วยการยกย่องบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีมาเป็นอุทาหรณ์
แล้วจึงโยงมาถึงเรื่องราวในปัจจุบันในบทต่อ ๆ มา
ที่น่าสนใจคือการที่แพทย์บางส่วนทิ้งวิชาชีพของตน แล้วหันไปทำงานอื่น
โดยลืมหน้าที่ของหมอที่ดี
แม้จะมีแพทย์ทิ้งวิชาชีพ แต่ในทางกลับกัน
สาขาแพทย์กลับเป็นสาขาที่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบัน
และเป็นสาขาที่ผู้ที่เรียนจบชั้นสิบหรือมัธยมปลายใฝ่ฝันกันมาก
คะแนนที่จะเข้าเรียนแพทย์นับว่าสูงกว่าสาขาอื่น
ในแต่ละปีจึงมีเด็กพม่าที่ผิดหวังกับการพลาดเรียนในสาขาแพทย์เป็นจำนวนมาก
และจำเป็นต้องไปเลือกเรียนสาขาอื่นแทน
ลูทุเซงวีงชี้ว่าเด็กหลายคนหมายมั่นที่จะเรียนแพทย์ให้ได้
เพราะคิดว่าการสอบเข้าแพทย์ได้แสดงถึงความเหนือผู้อื่น
หรือมีเกียรติกว่าสาขาอื่น
โดยมิได้พิจารณาว่าลักษณะงานของแพทย์นั้นจะเหมาะสมกับตนหรือไม่
และส่วนใหญ่เห็นว่าแพทย์สามารถเปิดคลินิกหารายได้พิเศษได้ดีกว่าอาชีพอื่นๆ
สำหรับบางคน แม้จะสอบเข้าแพทย์ได้ แต่เรียนได้เพียง ๑ - ๒ ปี
ก็ลาออกไปทำอย่างอื่น และมีหลายคนที่เรียนจบแพทย์
แต่แทนที่จะทำงานรักษาคนไข้ กลับหันไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ค้าขาย
ประกอบธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง ทำการค้าส่งออก ทำงานบริษัท
บางคนไปทำงานเมืองนอก บางคนหันไปเป็นนักเขียน และบางคนเป็นนักร้องก็มี
ลูทุเซงวีงยังเล่าถึงหมอที่ออกไปเป็นเซลล์แมนขายยา
เขามองว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ไม่เหมาะสมกับฐานะของแพทย์
และยังเป็นการแย่งอาชีพผู้อื่นอีกด้วย
ในประเทศพม่าคนที่ชำนาญในการค้ายาก็คือพวกแขก
ซึ่งกว้างขวางในตลาดยามานานแล้ว
แพทย์ที่หันไปประกอบอาชีพอื่นจึงถูกมองว่าเสียเกียรติ
ในปีหนึ่งมหาวิทยาลัยของรัฐรับนักเรียนแพทย์ได้เพียง ๕๕๐ คน
และหลายคนพยายามที่จะเข้าเรียนแพทย์ให้ได้ แต่พอจบแพทย์แล้ว
ถ้าหากมีทางเลือกอื่น ก็มักไม่อยากยึดอาชีพนี้
ดังพบว่าในช่วงสิบปีรัฐจะมีแพทย์เพิ่มราว ๒,๐๐๐ คน
ในขณะที่ฝ่ายรัฐเองผลิตแพทย์ได้ไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ คน
รัฐจึงต้องสูญเสียทั้งเวลา งบประมาณ
และบุคลากรด้านนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
สาเหตุที่แพทย์ทิ้งวิชาชีพนั้น
น่าจะเป็นเพราะปัจจุบันการประกอบอาชีพด้านธุรกิจการค้าสร้างรายได้ให้มากกว่า
ในขณะที่แพทย์ที่ทำงานราชการได้รับเงินเดือนน้อยมาก
แพทย์จะได้รับเงินเดือนราว ๑ - ๒ พันจั๊ต หรือ ราว ๑๐๐ – ๒๐๐
บาทเท่านั้น และหากเป็นแพทย์จบใหม่
จะถูกส่งไปปฏิบัติงานในชนบทเป็นเวลาอย่างน้อย ๓ ปี
มิฉะนั้นจะต้องใช้ทุนคืนถึง ๕ แสนจั๊ต
หมอบางส่วนจึงหันไปยึดอาชีพอื่น
หรือทำงานในคลินิกส่วนตัวหรือคลินิกเอกชน ซึ่งจะมีรายได้ดีกว่า
ดังพบว่าในการตรวจรักษาคนไข้แต่ละครั้ง หมอจะได้รับเงินราว ๓๐๐ จั๊ต
หรือ ๓๐ บาท แต่ชาวพม่าส่วนมากยังนิยมการรักษาแบบพื้นบ้าน
มักซื้อยากินเอง และพึ่งแพทย์น้อยโดยเฉพาะในชนบท
(สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรในชนบท ๑ ต่อ ๒๐,๐๐๐ หรือมากกว่านี้)
ส่วนแพทย์ที่ยังคงปฏิบัติราชการตามโรงพยาบาลของรัฐนั้น
กล่าวกันว่าเป็นเพราะฐานะการเงินไม่ดีพอที่จะออกไปเสี่ยงกับการทำงานอื่น
และลาออกจากราชการได้ยาก
อีกทั้งหากทำงานในโรงพยาบาลของรัฐไประยะหนึ่งอาจจะได้โอกาสไปเมืองนอกโดยทุนที่ผ่านมาทางรัฐบาล
และบางคนต้องการความก้าวหน้าในวิชาชีพของตน
นอกจากนี้การเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ
จะช่วยให้เป็นที่รู้จักของชาวบ้าน
ซึ่งมักจะมาขอรับบริการที่คลินิกของตนอีกด้วย
ข้าราชการแพทย์จึงยังพออยู่ได้อย่างสมเกียรติ
ส่วนการที่แพทย์บางส่วนทิ้งวิชาชีพนั้น
ลูทุเซงวีงคงจะมองเห็นรากเหง้าของปัญหานี้ แต่ก็มิได้กล่าวโทษรัฐบาล
หรือสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
เขาเพียงแต่หาเหตุผลตำหนิแพทย์ที่ไม่ยึดอาชีพที่เล่าเรียนมา
และเห็นว่าเลือกทางไม่เหมาะสม
อีกทั้งขาดการชั่งใจที่จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน
ไปให้ความสำคัญต่อเงินทองมากกว่าเกียรติ
และยังไม่ตระหนักว่ารัฐบาลลงทุนสูง และใช้เวลาถึง ๖-๗
ปีกับการผลิตแพทย์แต่ละคน แต่พอเรียนจบกลับทิ้งวิชาชีพที่เรียนมา
ปล่อยให้ความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ไร้ค่า และสิ่งที่กล่าว
กันมากก็คือค่านิยมทางวัตถุทำให้คนไม่คิดที่จะเสียสละ
จนลืมหน้าที่ที่จะต้องรับใช้สังคมและประเทศชาติ
นักเขียนพม่าหลายคนออกจะยังมีความศรัทธาและเชื่อมั่นในแนวคิดแบบสังคมนิยมที่จำกัดชีวิตของผู้คน
และมองว่าปัญหาใหม่ๆที่มีขึ้นในยุคปัจจุบันเกิดจากการที่สังคมตอบสนองสิ่งยั่วเย้าของค่านิยมบริโภคอย่างขาดหิริโอตตัปปะ
เพราะต่างหันไปลุ่มหลงความสุขทางวัตถุ เงินทอง
และความเจริญแบบโลกสมัยใหม่
จนทำให้คิดไปว่าสังคมพม่ากำลังขาดคนที่มีอุดมการณ์ ขาดคนที่เสียสละ
และขาดคนที่จริงใจต่องาน
ต่างไปจากอดีตที่นักคิดนักเขียนชอบที่จะยกมาเป็นแบบอย่าง
วิรัช
นิยมธรรม