หน้าแรก
สมาชิก
Dr Anuwat Supachu...
สมุด
Hospital Accredit...
ข่วงผญา
Dr Anuwat Supachutikul
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ข่วงผญา
ดินแดนแห่งปัญญา ทำงานเพื่อยาใจ
ผมได้ยินคำคำนี้เมื่อไปอภิปรายเรื่อง
“
การจัดการการเรียนรู้...สู่ความสำเร็จ
”
ร่วมกับคุณรุ่งนภา มาลารัตน์ และคุณหมอโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ในการประชุมวิชาการ
“
วิวัฒน์ของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ
:
สมดุลสร้างกับซ่อมสุขภาพ
”
จัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (สพสช.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ เมื่อวันอังคารที่
19
กรกฎาคม
2548
ข่วง แปลว่า บริเวณ ลาน หรือมณฑล
ผญา แปลว่า ปัญญา (เมื่อพบกันครั้งแรก ผมก็แสดงความเชยด้วยการถามว่า ข่วง-ผะ-ยา
หมายถึงอะไร เจ้าของเรื่องบอกว่าคำอ่านที่ถูกต้องคือ ผะ-หยา ตอนหลังมาทบทวนแล้วจึงเข้าใจหลักการของภาษาไทยขึ้นอีกมาก เพราะ ผ.ผึ้งเป็นอักษรสูง เมื่อมานำหน้าอักษรต่ำ ต้องแปลงเสียงต่ำให้เป็นเสียงสูงตามไปด้วย พญา-ผญา ก็ทำนองเดียวกับ ทนน-ถนน)
ข่วงผญา คือดินแดนแห่งปัญญา เป็นที่ที่คนทำงานมาคุยกันเพื่อสร้างปัญญา เครือข่ายข่วงผญา อยู่ที่จังหวัดเชียงราย โดยคุณรุ่งนภาทำงานอยู่ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
จากที่คุณรุ่งนภา เล่าให้ฟังและเตรียมมานำเสนอ ได้ความว่าที่มาของข่วงผญา เริ่มขึ้นเมื่อปี
2545
เริ่มพบว่ายิ่งทำงานมากยิ่งมีความทุกข์ คนทำงานที่มีความทุกข์มานั่งคุยกัน ได้พบจุดอ่อนคือ โครงสร้าง/กลไกที่มีอยู่เดิมไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง วิธีคิดมีปัญหา เน้นการสร้างนักเทคนิค และไม่เกิดการมีส่วนร่วมที่แท้จริง เป็นการเอาเทคนิคไปให้ชาวบ้านเพื่อสร้างผลงานมากกว่าสร้างกระบวนการเรียนรู้
เมื่อการทำงานมาถึงทางตัน จึงมาช่วยกันสร้างทางเลือกใหม่ สร้างทางเดินเล็กๆ ของตนเอง เป็นการทำงานเพื่อยาใจ (การทำงานตามคำสั่งหรือนโยบายเป็นการทำงานเพื่อยาไส้) จัดโครงสร้างที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม หาเพื่อน เน้นคนสนใจ มารวมตัวกันทำงานในลักษณะเครือข่าย เริ่มจากเวทีระดับอำเภอ และกลายมาเป็นเวทีรวมของจังหวัด มีแกนนำในระดับต่างๆ ตั้งแต่จังหวัด (25 คน) อำเภอ (5-10 คนต่ออำเภอ) ตำบล (1-2 คนต่อตำบล) หมู่บ้าน
(3-5
คนต่อหมู่บ้าน) มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสุขภาวะที่สมบูรณ์อย่างพอเพียงและยั่งยืน เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม เป็นโครงสร้างที่ยืดหยุ่น สร้างพื้นที่และโอกาสเรียนรู้ร่วมกัน
เครือข่ายเป็นเวทีของการขับเคลื่อนทางความคิด สร้างวิธีคิดใหม่ที่สำคัญ
3
ประการคือ วิธีคิดแบบชุมชน กระบวนการมีส่วนร่วม และกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนผ่านการปฏิบัติ
ในการทำงานจะยึดชุมชนเป็นตัวตั้ง ทำเชิงลึกก่อนขยายวงกว้าง
(
จาก
21
ชุมชนเป็น
102
ชุมชน) เริ่มจากสิ่งที่เป็นอยู่ ภายใต้สถานการณ์จริง สร้างเป้าหมาย/ทิศทางการทำงานร่วม และตอกย้ำจนเป็นอุดมการณ์รวม ลงมือปฏิบัติจริงให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย สร้างการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น เวที, ศึกษาดูงาน, ฝึกปฏิบัติ, อบรมเชิงปฏิบัติการ, สื่อ, กิจกรรมชุมชน
การจัดการเชิงการเรียนรู้มีหลากหลาย เป็นอิสระ ยืดหยุ่น ใช้ความสัมพันธ์แบบ เพื่อน-พี่-น้อง สร้างความมั่นใจและให้กำลังใจ
คุณรุ่งนภา ได้เน้นให้เห็นความสำคัญของวิธีคิดโดยเปรียบเทียบกับต้นไม้ซึ่งประกอบด้วยราก ลำต้น และผล รากเปรียบเสมือนความคิด การให้คุณค่าและความหมาย ลำต้นเปรียบเสมือนคน กลไก ผู้นำ และองค์กร ส่วนผลเป็นกิจกรรม เทคนิควิธี พิธีกรรม ทั้งหมดนี้มีความสัมพันธ์กัน ความคิดดูเหมือนเป็นนามธรรม แต่มีความสำคัญเปรียบเสมือนรากที่ดูดน้ำและอาหารไปหล่อเลี้ยงลำต้นให้เกิดเป็นดอกผลที่ต้องการ
สิ่งที่ทำเป็นทางเลือกเพื่อเพิ่มโอกาส อาจมีการปะทะทางความคิดกันบ้าง แต่ก็ยืดหยัดที่จะทำ มีความมั่นใจในสิ่งที่ทำมากขึ้น เมื่อเห็นผลการเปลี่ยนแปลง วิธีคิดของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไป มีการปรับบทบาทของตนเอง มีแกนนำความคิดในชุมชน มีหมู่บ้านจัดการตนเองเป็นแหล่งเรียนรู้ มีกิจกรรมชุมชนที่หลากหลายและหลายมิติสัมพันธ์กัน มีตัวชี้วัดความสุขภายใต้บริบทของตนเอง
บรรยากาศของการนำเสนอเป็นการพูดคุยกันสบายๆ โดยคุณหมอโกมาตรเป็นผู้ตั้งคำถาม ในส่วนของผมถูกถามเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เมื่อเริ่มต้นทำ
HA
ใหม่ๆ ซึ่งพอสรุปได้ว่าเราเริ่มจากการศึกษาสิ่งที่มีอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว นำมาผสมผสานและปรับให้ดียิ่งขึ้น เป็นการเชิญชวนมาทำงานแบบไม่ใช้อำนาจ แม้จะนำมาตรฐานมาใช้ก็ใช้แบบยืดหยุ่น เน้นกระบวนการเรียนรู้ เก็บเกี่ยวความรู้และปัญหามาแลกเปลี่ยนกันในเวทีต่างๆ การประชุม
Forum
เริ่มจากเป็นเวทีเปิดให้ผู้ที่อยู่นอกโครงการนำร่องได้เข้ามารับทราบบทเรียน และคลี่คลายต่อมาเป็นการจุดกระแสความสนใจเพื่อหาโอกาสเรียนรู้และทดลองทำเรื่องใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการนำเสนอผลงานจากพื้นที่ซึ่งมีผลงานที่ประสบความสำเร็จมานำเสนอมากขึ้นเรื่อยๆ
คุณหมอโกมาตรได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า ศ.เกาตุง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขความขัดแย้ง กล่าวว่าไม่มีปัญหาใดเหมือนกันเลย การจะให้คำแนะนำในสถานการณ์ต่างๆ ได้นั้นจะต้องสะสมคำตอบต่างๆ ไว้ถึง
500
เรื่อง ซึ่งเป็นข้อคิดที่ดีมาก และจะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมคำตอบสำหรับที่หนึ่งจึงไม่สามารถใช้ได้สำหรับอีกที่หนึ่ง ช่วยให้เราเข้าใจว่าการถามหาความช่วยเหลือนั้นจะต้องบอกเล่าสถานการณ์ที่ชัดเจน จึงจะได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม
เขียนใน
GotoKnow
โดย
Dr Anuwat Supachutikul
ใน
Hospital Accreditation
คำสำคัญ (Tags):
#uncategorized
หมายเลขบันทึก: 1571
เขียนเมื่อ 24 กรกฎาคม 2005 09:13 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 16:53 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
Dr Anuwat Supachu...
สมุด
Hospital Accredit...
ข่วงผญา
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท