จากการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการพบว่า น้ำหมักชีวภาพและสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดสิวหนองทั้งสองชนิดได้ดีที่สุด
ค้นข่าวชิ้นเก่าๆ ขึ้นมาอ่าน มาสะดุดกับข่าวชิ้นหนึ่งของ นสพ.มติชน
ว่า
"การตรวจสอบการยื่นจดสิทธิบัตรสมุนไพรไทยในต่างประเทศ
พบว่ามีการยื่นจดสิทธิบัตรคุ้มครองการนำน้ำสกัดจากเปลือกมังคุดมาทำเครื่องดื่ม
โดยบริษัทแห่งหนึ่งของประเทศสหรัฐ
ซึ่งยื่นจดที่สำนักงานกฎหมายสิทธิบัตรสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 เมษายน
2549 โดยคุ้มครองครอบคลุม 17 ข้อ ทั้งนี้
เนื้อหาสำคัญที่ยื่นและส่งผลกระทบกับไทย คือ
การยื่นจดสิทธิบัตรน้ำสกัดจากเปลือกมังคุด เพื่อทำเครื่องดื่ม
และวิธีการสกัดน้ำจากมังคุด ด้วยการใช้แอลกอฮอล์ โดยมีเอธิลแอลกอฮอล์
ผสมน้ำอย่างละ 50% รวมทั้งการอบแห้งเปลือกมังคุดในระบบสุญญากาศ
นอกจากนี้ยังได้จดสูตรเครื่องดื่มน้ำมังคุด
โดยนำไปผสมกับน้ำผักผลไม้อื่นๆ เช่น น้ำองุ่น
เป็นต้น"
และยังมีรายงานต่ออีกว่า
"กรณีนี้กระทบต่อไทยมาก
เพราะแม้ว่ามังคุดจะไม่ได้ปลูกที่เมืองไทยแห่งเดียว
แต่ก็ถือว่าไทยเป็นต้นกำเนิด และปัจจุบันส่งออกมากที่สุดในโลก
และการจดสิทธิบัตรจะทำให้ไทยอยู่ในฐานะผู้ส่งออกวัตถุดิบเท่านั้น
ไม่สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปได้ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มได้
แม้จะมีศักยภาพก็ตาม และการทำเครื่องดื่มน้ำมังคุด
ในลักษณะนี้คนไทยโดยเฉพาะชาวสวนทำน้ำดื่มมาก่อน
ไทยต้องมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่กลไกเฝ้าระวัง
กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องทำอย่างจริงจัง
ก่อนที่สมุนไพรไทยจะหมด"
โรงเรียนเกษตรอินทรีย์
ของเราเองก็ทำน้ำหมักมังคุด
(แต่ใช้เปลือกมังคุดและไม่ได้ใช้แอลกอฮอร์เป็นสารสกัด)
ไม่น่าจะมีปัญหาเนาะ...แล้วเราทำมาก่อนที่จะมีการยื่นจดสิทธิบัตรอะไรนี้ด้วย
จริงๆ แล้ว "มังคุด"
ไม่ใช่ผลไม้ประจำถิ่นของจังหวัดสุรินทร์ แต่ว่าทุกๆ ปี คนสุรินทร์
(และจังหวัดอื่นๆ) จะบริโภคมังคุดจำนวนมาก
และเปลือกของมังคุดก็ถูกทิ้งลงถังขยะเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน
ทำอย่างไรเราจะสามารถช่วยลดปริมาณขยะในส่วนนี้ลงได้
......
.....วันนี้เราจึงจะขอเชิญชวนท่านทั้งหลายมาทำน้ำหมักชีวภาพเปลือกมังคุดพร้อมๆ
กับการทำสวยด้วยธรรมชาติ....กับสบู่ก้อนสมุนไพรสูตรน้ำหมักชีวภาพเปลือกมังคุด....
...........ทำไม
!!!....เราใช้เปลือกมังคุดทำสบู่ได้ด้วยหรือคะ.............
นักเรียนที่เรียนการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากน้ำหมักชีวภาพที่โรงเรียนบ้านจันรมก็ตั้งคำถามเช่นนี้เหมือนกัน
ถ้าได้ศึกษาทราบถึงสรรพคุณของมังคุด ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น
"ราชินีของผลไม้" ละก็...ท่านจะรู้สึกเสียดายในภายหลังว่า ...
เราไม่น่าทิ้งเปลือกมังคุดลงถังขยะเลย...(นะ...โรบิ้นส์!!)
ก่อนจะลงมือทำสบู่
ฯ...ขอศึกษาสารพัดสรรพคุณพร้อมๆ
กับดูงานวิจัยของหน่วยงานที่ได้ศึกษาเรื่องราวของราชินีผลไม้เป็นการทบทวนความรู้กันก่อนนะคะ
มังคุด ( Mangosteen;ฉายา Queen
of fruit มีชื่อภาษาลาตินว่า Garcinia
mangostana-GM)
........................
คุณค่าทางโภชนาการ
เมื่อเราบริโภคมังคุดเราจะได้บริโภคกากใยจากเนื้อของมังคุดด้วย
ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายและยังได้สารอาหารวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ
อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก
ประโยชน์ของมังคุดมิได้มีอยู่แค่เนื้อในของมังคุดที่เราใช้เป็นอาหารเท่านั้น
เปลือกมังคุดก็มีสรรพคุณเป็นยาเช่นกัน
-เปลือกมังคุดนี้มีสารแทนนิน (Tannin)
และสารแซนโทน (Xanthone) ที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า
สารแมงโกสติน (mangostin)
สารแทนนินมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
สารแมงโกสตินมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ
และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง
สารแซนโทนในเปลือกมังคุดยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลากได้อีกด้วย
-สารสกัดน้ำต้มเปลือกผลมังคุดมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุอาการท้องเสีย
ได้แก่ Shigella dysenteriae, Sh. flexneri, Sh. sonnei และ Sh.
boydii, Escherichia coli ฯลฯ
-สารสกัดเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดหนอง
คือ Staphylococcus aureus และ S. aureus
-Mangostin และอนุพันธ์ที่ละลายน้ำได้ 2
ชนิด มีฤทธิ์ต้านการอักเสบของข้อ
หรือหากต้องการความสะดวกไม่ต้องการทำน้ำหมักชีวภาพให้เสียเวลา
เราสามารถนำเปลือกมังคุดมารักษาอาการท้องเสียได้โดย
1. ใช้เปลือกผลตากแห้งต้มกับน้ำปูนใส นำน้ำมาดื่ม
2. ใช้เปลือกผลตากแห้งฝนกับน้ำดื่ม
3. ใช้เปลือกผลตากแห้งฝนกับน้ำ ให้เด็กดื่มครั้งละ 1-2
ช้อนชา ทุก 4 ชั่วโมง และผู้ใหญ่ ครั้งละ 4 ช้อนโต๊ะ ทุก 4
ชั่วโมง
4.
หรือจะใช้มังคุดรักษาแผลโดยเอาเปลือกมังคุดตากแห้งฝนกับน้ำปูนใส
ใช้ทาแผลพุพอง แผลเน่าเปื่อย
ส่วนข้อมูลด้านการวิจัย
มีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ต้านแบคทีเรียก่อสิวของสารสกัดจากพืชและน้ำหมักพืชที่มีในไทย
ผลจากโครงการศึกษาดังกล่าวพบว่า
น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกมังคุดมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดสำหรับพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิว
โดยสามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย 2 ชนิด
ที่เป็นตัวการก่อให้เกิดสิวหัวหนอง ในการศึกษาได้เลือกน้ำหมักจากพืช 4
ชนิดที่พบในไทยคือ เปลือกมังคุด กระชายดำ
ขมิ้นชันและใบบัวบก
นำมาหมักแยกกันโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์เป็นเวลา 3 เดือน
จากนั้นนำมากรองเพื่อแยกให้เหลือเฉพาะน้ำหมัก
และส่งไปทดสอบประสิทธิภาพการรักษาสิว เปรียบเทียบ "สารสกัด"
จากพืชชนิดเดียวกัน
จากการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการพบว่า
น้ำหมักชีวภาพและสารสกัดจากเปลือกมังคุดมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย
ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดสิวหนองทั้งสองชนิดได้ดีที่สุด
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างน้ำหมักชีวภาพกับสารสกัดแล้วพบว่า
"คุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวหนองนั้นไม่แตกต่างกัน
แต่หากพิจารณาถึงขั้นตอนการผลิตเชิงอุตสาหกรรมแล้ว
น้ำหมักชีวภาพสามารถทำได้ง่ายกว่า
ขั้นตอนการผลิตไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน
ขณะที่การสกัดสารจากพืชมีความซับซ้อนมากกว่า"
แต่อย่างไรก็ตามการใช้น้ำหมักจากเปลือกมังคุดในผลิตภัณฑ์รักษาสิว
ต้องคำนึงถึงความเข้มข้นที่เหมาะสมกับผิวหน้าด้วย....
ขณะเดียวกันมีข่าวอีกชิ้นค่ะว่า
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
(มอ.)ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงโครงการ
ร่วมกับบริษัมเอกชนแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยั่งยืนจากสมุนไพรเพื่อเป็นการแปรผลิตภัณฑ์เปลือกมังคุดไปสู่ยาและเครื่องสำอางออกมาเป็นผลิตภัณฑ์
และมีการขยายผลซึ่งจะนำไปสู่ตลาดการค้าต่อไป
ถือว่าเป็นความคืบหน้าที่ดีต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสิ่งที่คิดว่าไร้ค่า....แต่ปลายทางสุดท้ายเราจะได้ร่วมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผลงานชิ้นนี้กี่มากน้อย...หากนักวิชาการร่วมกับหน่วยงานราชการพัฒนาผลิตภัณฑ์...คงจะเป็นคุณอนันต์ต่อประชาชนตาดำๆ
อย่างเราๆ จะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ดีมีคุณภาพและราคาถูก....เพราะว่าสาร GM
ซึ่งสามารถพัฒนาและสกัดต่อไปจนกระทั่งผลิตเป็นยาและเครื่องสำอางทั้งสบู่และครีมรักษาสิวนี้
เป็นผลงานการค้นพบของอดีตนักศึกษา มอ.เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว
......
....................
อยากเล่าต่อค่ะ.....แต่บันทึกเริ่มจะยาวมากแล้ว....ขอยกยอดไปครั้งหน้า
และจะพาท่านทำน้ำหมักชีวภาพเปลือกมังคุด..นะคะ
.....................
ขอขอบคุณ ลุงพูน เจ้าของบันทึก เรื่องมังคุด
ที่บล็อกเกษตรกรรม+ธรรมชาติ
ที่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของมังคุด
และมีสาระทางวิชาการจากบันทึกของท่าน
จึงขออนุญาตยกมาต่อบันทึกนี้ด้วยเลยนะคะ
------------------->>
............ดูกันที่เปลือกมังคุดเมื่อวิเคราะห์พบว่า มีการประกอบ
3 กลุ่มที่สำคัญ คือ
กลุ่มสารแทนนิน (Tannin) ให้รสฝาด
เป็นสารที่ช่วยสมานแผลให้หายเร็ว รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
กลุ่มที่เป็นรงควัตถุ
(Anthocyanin) หรือเม็ดสีบริเวณผิวเปลือกด้านนอกสีแดง
สีม่วง-น้ำตาล มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
(Antioxidant)
และสุดท้ายเป็นกลุ่มสำคัญคือ สารแซนโทน
(Xanthone) ซึ่งมีอยู่มากถึง 43 ชนิด เช่น mangostin,
mangostenol เป็นต้น
ซึ่งสารแซนโทนนี้มีมากที่เปลือกมังคุด
แต่จริงแล้วมีที่เมล็ด ลำต้น และใบด้วย
แต่ปริมาณน้อยกว่าที่เปลือก
เมื่อกล่าวถึงเปลือกมังคุดพบว่า
มีสรรพคุณหลายด้านซึ่งมีการใช้มาตั้งแต่โบราณ โดยการใช้เป็นยาฝาดสมาน
แก้ท้องเสีย แก้บิด รักษาแผล
ไม่เฉพาะไทยเท่านั้น
ประเทศอินโดนีเซียใช้เปลือกแก้บิด ใบแห้งนำมาต้มดื่มแก้ไข้
บรรเทาอาการปวดท้อง คนจีนใช้เป็นยาแก้บิด และนำไปผสมในขี้ผึ้ง
ทาแก้ผื่นคัน รักษาอาการท้องเสียและหนองใน ฟิลิปปินส์ใช้แก้ท้องเสีย
ถ่ายพยาธิ ส่วนมาเลเซียใช้เปลือก ราก
ต้มรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
หากจะจำแนกประโยชน์ของเปลือกมังคุดเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
สามารถแบ่งได้เป็น 6 ประเด็น ดังนี้
1.มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย S.aureus สาเหตุแผล
ฝี หนอง ของร่างกายมนุษย์
ทั้งสายพันธุ์ปกติและสายพันธุ์ดื้อยาเพนนิซิลลิน ประสิทธิภาพเทียบเท่า
ยาแผนปัจจุบันคือ Vancomycin ที่ใช้เป็นสาร antibiotic กับคนไข้
ไอซียู ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาการท้องร่วง
แผลในกระเพาะอาหาร เช่น E.coli, Shigella Spp. ต้านเชื้อแบคทีเรีย
H.pyroli และต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ฝ้า พวก P.acne
2.มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อรา
พวกเชื้อราสาเหตุของโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้บางชนิด
3.เป็นสารกดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางในหนู
ซึ่งทำให้สงบ เชื่องช้า เป็นสารเสริมฤทธิ์ยานอนหลับ ทำให้หลับนานขึ้น
ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ และเพิ่มความดันโลหิต
4.สารแมงโกสตินและอนุพันธ์
สามารถลดอาการอักเสบ บวมแดงและร้อนของกล้ามเนื้อผิวหนัง
ใช้ทาแผลสด แผลไฟไหม้ได้ดี พอๆ กับว่านหางจระเข้
รักษาแผลโรคเบาหวานและแผลเรื้อรังจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้ดี
ผลการทดสอบสามารถต้านการอักเสบได้ดีกว่ายาแอสไพริน 3 เท่า
5.ต้านออกซิเดชั่น (antioxidant)
ในกระบวนการต่อต้านและกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายและจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นสาเหตุอาการผิดปกติของร่างกาย
เซลล์ผิวหนัง เนื้อเยื่อต่างๆ ป้องกันการเกิด LDL
และลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตัน
จากการทดสอบความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผลไม้ชนิดต่างๆ
เช่น แครอต ราสป์เบอร์รี่ โพมกราเนต วูฟเบอร์รี่ และมังคุด พบว่า
สารแซนโทนจากมังคุด มีคุณสมบัติดูดซับอนุมูลอิสระได้มากสุด
6.บรรเทาอาการแพ้ โดยมีฤทธิ์ต้านอีสตามีน และเซโรไทนิน
สาเหตุโรคภูมิแพ้ น้ำมูกไหล จาม-ไอ แก้มแดง ตาแดง ผิวหนังผื่นคัน
ระคายเคือง ลดอาการบวมแดงเนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว
ผลทดสอบในห้องทดลองจากประเทศจีน
สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป ยังพบว่า
ยับยั้งเอนไซม์ของเชื้อ HIV และสารที่เป็นพิษต่อพันธุกรรมมนุษย์
กระตุ้นกระบวนการ phargocytosis คือ
การกำจัดสิ่งแปลกปลอมพวกจุลินทรีย์ที่เข้าสู่ร่างกายและช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต
โดยมีค่า SPF 10.4
จากผลการวิจัยที่ว่า สารแซนโทนและอนุพันธ์
มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายด้าน จึงได้มีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ
หลายแบบ เช่น ยาการ์ซิดีน
(Garcidine)
ยาใส่แผลสดจากเปลือกมังคุด ที่ใช้ทดแทนยาแดง
ยาเหลือง ทิงเจอร์ไอโอดีน ที่ชื่อโพวีโดนไอโอดีน
ซึ่งยานี้มีข้อจำกัดเพราะมีสารโลหะหลายชนิดและเป็นพิษต่อร่างกาย
ระคายเคืองแสบมากและเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ไม่สมานแผลจึงหายช้า
ที่สำคัญคือ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ขาดดุลการค้ามหาศาล ขณะที่ยาการ์ซิดีนนั้นมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อได้ดีกว่ายาโพวีโดนไอโอดีน
เพราะมาจากธรรมชาติ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและฝาดสมาน
แผลจะหายเร็วกว่า
@@@@@@@@@
รายละเอียดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บันทึกของลุงพูนข้างต้น
และที่ลิ้งค์..... [ CLICK ] .... [ CLICK ] ...
(ขอบคุณเจ้าของข้อมูลค่ะ)
ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์และการปลูกมังคุด....[ คลิ้กที่นี่ค่ะ
]....