สวัสดีคะ..
วันนี้ออกพื้นที่เจอป้ายรับสมัครงาน ทั้งงานบริษัท จนถึงคนงานในสวนผลไม้.....ทำให้คิดถึงเรื่องการรับคนเข้าทำงานแบบไทยๆ เรา..
ว่า...ในการรับคนเข้าทำงานพิจารณาจากอะไรบ้าง..มีอะไรเป็นเกณฑ์....จริงหรือที่มีคนบอกว่า ให้พิจารณารับคนดีเข้าทำงาน ส่วนทำงานเป็นค่อยสอนกันทีหลัง แล้วพิจารณาความดีจากตรงไหน คุณเป็นใครไปตัดสินคนอื่นเขาว่าเป็นคนดีคนไม่ดี เอาอะไรไปวัด...แล้วคนที่เราไม่รับเข้าทำงานเพราะเขาเป็นคนไม่ดี จริงหรือ .....เขียนมาถึงตรงนี้แล้วน่าตกใจที่คนในสังคมไทยจำนวนมากกำลังตั้งหน้าตั้งตา ชี้หน้าใครต่อใครและพิพากษาเขาว่าเป็นคนไม่ดี ไม่ควรยกมือไหว้ ฯลฯ
เคยได้ยินการรับคนเข้าทำงานของต่างประเทศในหลายๆหลายประเทศ เขาสนใจที่ว่าคุณทำงานได้หรือเปล่า เขาไม่เสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายที่จะรับคนเข้าไปแล้วต้องไป ฝึกอีก คนที่เข้าไปต้องทำงานได้ในทันที เพราะเขาคิดว่าการฝึกงานต้องฝึกตั้งแต่เป็นนักศึกษา ...
ยกตัวอย่าง เช่น การรับสมัครงานของ google ได้ยินมาว่า กูเกิลตั้งสมการที่สลับซับซ้อนไว้ในประกาศรับสมัครงาน คนที่จะไปสมัครงานกับเขาได้จะต้องแก้สมการที่ตั้งไว้ให้ได้ก่อนถึงจะมีสิทธิ์ยื่นใบสมัคร ....ในขณะที่บ้านเรานั่งกรอกใบสมัครเป็นหน้าๆ เพราะองค์กรที่รับสมัครงาน อยากรู้ว่าเราจบชั้นประถม มัธยม อุดมศึกษาจากสถาบันใด การระบุลงไปว่า เป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญบางรัก หรือมาแตร์เดอีมีผลต่างกันมากกับการที่จบมาจากโรงเรียนเทศบาล 1 วัดเขียน พ่อแม่ชื่ออะไร และพ่อแม่ทำงานอะไร ก็มีส่วนในการพิจารณาเช่นกันในการคัดใบสมัครทิ้งในแต่ละรอบ...
เมื่อคนเรามีเกณฑ์ในการรับคนเข้าทำงานที่ไม่ได้เริ่มต้นจากความสามารถในการทำงาน คนเหล่านี้จึงได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นวัฒนธรรมที่ไม่ส่งเสริมการทำงาน ยกตัวอย่าง....
มีคำพูดที่ตลกร้าย ที่คิดว่าหลายคนเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วที่ว่า
ข้อที่ 1.เจ้านายถูกเสมอ
ข้อที่ 2.เมื่อเจ้านายทำผิดให้กลับไปดูข้อที่1
หรือนี่คือวัฒนธรรมการทำงานแบบไทยๆๆ
มีอีกนะ...เวลายืนต่อหน้าเจ้านายถ้าเป็นผู้ชายให้เอามือกุมด้านหน้า แล้ว....คอยพูดว่า ถูกครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน....ส่วนผู้หญิงก็ต้องคอยชำเลืองดูแก้วเหล้าเจ้านาย พร่องเมื่อไหร่ต้องกุลีกุจอไปเติม..ไม่อย่างนั้นจะถือว่าบกพร่อง.....เฮ้อ...
จะเป็นด้วยเหตุนี้หรือเปล่าจึงทำให้องค์กรต่างๆจำนวนมากจึงเต็มไปด้วย ผู้บริหารที่ไม่มีความสามารถ ที่ไม่เพียงแต่ไม่มีความสามารถในการทำงาน แต่ไม่มีความสามารถแม้แต่การสื่อสารกับผู้ร่วมงานและผู้อื่น...
คนดี มีประวัติการศึกษาที่เลิศเลอ มีนามสกุลเพราะ ได้รับโอกาสให้เข้ามาทำงานในองค์กร เติบโตขึ้นมาเป็นผู้บริหาร แหละที่ในที่สุดคือคนที่ออกกฏเกณฑ์ในการรับคนอื่นเข้ามาทำงาน....
สวัสดีครับพี่แดงน้อย ผมเพิ่งมาเจอเวบนี้ เลยขอแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ ในฐานะที่เคยเป็นทั้งคนที่ถูกเลือกและเป็นคนเลือก ใช่แล้วครับ ผมคิดว่าในการทำอะไร เราเป็นทั้งคนเลือกและคนถูกเลือกทั้งนั้น การสมัครงาน คนรับก็ต้องมองหาคนเก่งที่สุด ผมว่าไม่ใช่คนดีที่สุดนะครับ เพราะผมว่ามันคงวัดกันยากจากการสัมภาษณ์ไม่กี่นาทีว่าใครดีกว่ากัน และคนสมัครงานก็ต้องเลือกว่าบริษัทที่เราสมัครเนี่ย น่าทำงานด้วยมั๊ย หัวหน้าเราจะเป็นหัวเน่าหรือเปล่า ครับต่างคนต่างเลือก อย่ายอมให้เค้าเลือกเราอย่างเดียว ในชีวิตทั่วไปผมว่าก็เหมือนกัน
ผมเห็นด้วยกับพี่ที่ว่า เราดีพอแล้วหรือที่จะไปตัดสินคนอื่นว่าเค้ายังไม่ดีพอ ผมเคยเจอผู้บริหารคนหนึ่งใล่พนักงานออก พร้อมกับพูดว่า เธอไม่เหมาะที่จะทำอาชีพนี้หรอก ไปหางานอืนทำซะ ผมว่าการไล่ออกเป็นสิทธิ์ที่เค้าทำได้ แต่การตัดสินว่าคนอืนเหมาะกับการทำอะไร น่าจะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของร่างกาย ความคิด และจิตใจ มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาตัดสิน และที่อยากจะไปบอกทุกคนคือว่า เราเป็นใคร เก่งหรือดีแค่ใหน ถึงได้ไปตัดสินคนอื่น
คิดว่าไงกันครับ
สวัสดีคะ คุณ zean