16 : ช้างมาวัวควายมาจากไหน?



ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยากขึ้น

ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้นเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น ต่อมาสัตว์เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค

ดูกรเสฏฐะและภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือ
แล้วบริโภคอยู่นั้น เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129
อัคคัญญสูตร

เขียนนิยายเพลินไป  พอมาถึงตรงนี้ ผมย้อนกลับไปอ่านอัคคัญญสูตรอีกทีหนึ่ง อ่านแล้วอายในความฟั่นเฝือของตน  เหตุที่กลับไปอ่านก็เพราะเกิดปัญหาขึ้นว่า เอ แล้วพระจันทร์กับพระอาทิตย์ปรากฏแก่มนุษย์ต้นกัปป์ในเมื่อเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น

พอกลับไปอ่าน ปรากฏว่า พระอาทิตย์พระจันทร์ปรากฏตอนที่กำลังกินง้วนดิน  เหตุก็เพราะรัศมีของสัตว์เหล่านั้นหายไป   หายไปในช่วงที่พยายามปั้นง้วนดินเป็นคำๆนั้น

อ่านแล้วเห็นว่า สิ่งที่พระศาสดาแสดงไว้แล้วนั้น บริบูรณ์ทุกอย่างทั้งในอรรถะและพยัญชนะแล้ว  แล้วผมมาฉายซ้ำแบบพร่าๆในสิ่งที่มันชัดเจนอยู่แล้ว  มันน่าอายเสียนี่  อยากจะแนะนำผู้อ่านให้เข้าไปอ่านเองเสียด้วยซ้ำ  หากว่า ส่วนไหนจินตนาการยาก ก็กลับมาอ่านของผมซึ่งฝ้าๆมัวๆนี้ อาจจะเข้าใจง่ายกว่า แต่ผิดลำดับเรื่องมากมายทีเดียว และบางอย่างก็เพี้ยนไปเลย  อันนี้ พอให้อ่านได้พอเข้าใจแล้วก็กลับไปอ่านพุทธพจน์อีกที จะเห็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า พระองค์กล่าวสูตรนั้น โดยไม่ต้องมานั่งเรียบเรียงเป็นแรมวันแรมสัปดาห์ แรมเดือนแรมปีอย่างผมหรือนักตรึกตรองท่านอื่นๆ  แม้เมื่อพระองค์แสดงเนื้อธรรมนั้นออกมา ก็ไม่ได้มีความติดขัด ไม่ผิดลำดับเนื้อความเลย ไล่เลียงกันไปตามเหตุปัจจัย ตามผลตามลำดับไป   และธรรมนั้นที่แสดง ก็เป็นไปในคาบเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น   มันน่าอัศจรรย์นักหนานะครับ  รูปพรรณสันฐานและ
รสแห่งง้วนดินพระศาสดาก็เล่าเสียชัดเจนแล้ว  ไม่มีอะไรต้องแปลอีก

หากจะกล่าวเนื้อความผมเป็นอรรถกถาก็หามิได้ เพราะเฝือเอามาก เป็นฎีกาก็ไม่ได้ เรียกว่าเป็นอัตโนมติที่ฟั่นเฝือนี้ใช้ได้   ผู้อ่านทั้งหลายพึงระลึกเสมอนะครับถึงความข้อนี้  ลองอ่านเนื้อเรื่องที่ผมเขียน แล้วเทียบเคียงใส่กับพระสูตรชื่ออัคคัญญะนั้นแล้ว  ก็จะเห็นความฟั่นเฝือผิดเพี้ยนไปมากมาย  เห็นความทุรพลในปัญญาของผมนะครับ อย่าได้มาถือหางกันให้กิเลสกันฟูเลย  แต่ก็ขออย่าได้มาทุบตีให้จิตใจมันฟุบไปด้วยก็เป็นพระคุณครับ  ความน่าอายนั้นผมเห็นเองอยู่แล้วทุกครั้งที่กลับไปอ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก  ก็เลยคิดเอาเสียว่า ถือเสียว่านี่เป็นนิยาย ถือเสียว่า นี่เป็นการแต่งนิยาย  แม้จะเฝือแต่ก็ยังมีส่วนแห่งความคล้ายอยู่บ้างล่ะนะ   หากไม่คิดอย่างนี้แล้ว ฉันทะมันจะสิ้น  ท่านผู้ยินดีในรสแห่งอัตถะจากพยัญชนะก็จะพลอยไม่ได้เสพกันไป


ปัญหาที่ครุ่นคิดในใจนี้อยู่คือว่า
๑. เอ... แล้วสัตว์ดิรัจฉานนี่นะ ปรากฏในโลกมนุษย์ตอนไหน?
๒. สัตว์ดิรัจฉานปรากฏก่อนหรือหลังมนุษย์?  อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ปรากฏมีสัตว์ดิรัจฉานขึ้น?
๓. ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน จะนำมาผสมโรงนิยายเรื่องนี้ของผมได้ไหม คือ พล็อตเรื่องวางไว้ว่าจะให้สัตว์ดิรัจฉานปรากฏทีหลังมนุษย์  เพราะอาศัยเหตุที่จิตมนุษย์ต่ำทรามลงจากเหตุเรื่องการแย่งชิงข้าวสาลี แบ่งพรรคพวกกัน?
๔. แล้วเรื่องการเกิดในครรภ์ในพวกมนุษย์นั้นปรากฏได้อย่างไรล่ะ?  ปรากฏตอนไหน? ระบบสืบพันธุ์ถูกกระตุ้นให้ทำงานสมบูรณ์ ทำให้ผู้หญิงต้นกัปป์มีระดู ผู้ชายมีอสุจิได้ในระยะอีกนานแค่ไหนจากที่ทดลองเสพเมถุนกันนั้น?
๕. แล้วลำดับการกำเนิดของภพเปรต อสุรกาย นรก พวกนี้ ภพไหนปรากฏก่อนกันล่ะทีนี้  เพราะว่าหลังจากนี้ไปไม่นาน ตัวละครของผมคือ พวกมนุษย์ต้นกัปป์จะตกอยู่ในอกุศล ทำลายชีวิตกัน  จนทำความเลวทรามยิ่งกว่านั้นไปโดยลำดับ  แล้วถึงขีดไหน ในต้นกัปป์จึงควรปรากฏสัตว์ขึ้นในภพแห่งเปรต แห่งอสุรกาย แห่งนรก แห่งสัตว์ดิรัจฉาน?  นี่ ปัญหาที่มันพอกพูนกันเข้ามา  แค่นี้ก็ทำให้หัวหมุนได้   ยังไม่ทันได้ผูกออกไปตอบเรื่องจักรวาลแกแล็กซี่ อะไรนั่นเลยนะครับนี่


[๕๙] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อเครือดินของสัตว์เหล่านั้นหายไปแล้ว ก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้นนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็งอกขึ้นแทนที่ ตอนเช้าเขาพากันไปนำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า  ตอนเย็นข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกแล้วก็งอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย

ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น พวกสัตว์บริโภคข้าวสาลีที่เกิดขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ พากันรับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหารดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน ก็โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคข้าวสาลีอันเกิดขึ้นเองอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นการช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันออกไป สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ นัยว่า สตรีก็เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองเพศ ต่างเพ่งดู
กันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจัย เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน ฯ


นี่ เห็นไหมครับ ผมยกมาให้อ่านสั้นๆนี้ว่า พระศาสดาแสดงอย่างกระชับ ชัดเจนขนาดไหน พระองค์บอกเหตุปัจจัยไว้พร้อมเลยว่า เพ่งดูกันแล้วมันก็กำหนัด กำหนัดแล้วก็เร่าร้อน เร่าร้อนแล้วอดทนไม่ได้ ก็เลยเสพเมถุนกัน นั่นนะครับ   มันเยี่ยมยอดขนาดไหน ดูสิ

ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแล สัตว์พวกใดเห็นพวก
อื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติชั่ว จงฉิบหาย คนชาติชั่ว จงฉิบหาย ดังนี้ แล้วพูดต่อไปว่า ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์ จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า ข้อที่ว่ามานั้น จึงได้เป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ ในชนบทบางแห่ง คนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง ในเมื่อเขาจะนำสัตว์ที่ประพฤติชั่วร้ายไปสู่ตะแลงแกง พวกพราหมณ์มาระลึกถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี อันเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ

พอจะพล็อตเรื่องว่า ดิรัจฉานเกิดภายหลังการเสพเมถุนยาวนาน มาเห็นความว่า "โยนมูลโคใส่บ้าง" ดังนี้แล้วก็อดลังเลไม่ได้ว่า  ตอนนั้นมีมูลโคแล้วหรือ  หรือว่า ยังไม่มี เพียงแต่ว่า พระศาสดาอุปมาขึ้นมาเท่านั้น  ในความจริงแล้ว มีแต่เฉพาะฝุ่นที่จับโปรยลง  ฝุ่นกับเศษหญ้า เศษต้นข้าวสาลีทำนองนี้   แล้วก็ยังมีความว่า "โปรยเถ้าใส่บ้าง"  ก็มาคิดว่า เอ... คนต้นกัปป์ รู้จักก่อกองไฟด้วยหรือนี่  แล้วเขาเอาอะไรเป็นเชื้อเพลิง  เอาอะไรเป็นแหล่งกำเนิดไฟล่ะนี่       แต่ในใจนี้คิดว่า ในตอนนั้น ยังไม่รู้จักก่อไฟ  ยังไม่มีโคเกิดในโลก ยังไม่มีการจับโคมาเลี้ยง นะครับ    เดาเอาเหมือนเคยล่ะครับ

เพราะถ้าหากจะเกิดมีโคมาแต่ตอนนั้น ก็คงจะเป็นตอนพรหมกินง้วนดิน  พรหมบางตัวมีรูปเป็นโค อย่างนี้  แล้วมันจะเอามือที่ไหนมาปั้นง้วนดินนะ   และมันก็ผิดแผกไปจากวิญญาณฐิติข้อที่๓นั้นด้วยที่ว่า เทพเหล่าอาภัสสระ มีกายอย่างเดียวกัน แต่สัญญาต่างกัน  เพราะอย่างนั้น  จะดำเนินเรื่องต่อไปตามที่วางไว้ คือจะให้ดิรัจฉานเกิดทีหลังมนุษย์ แล้วก็เกิดจากกระบวนการวิวัฒนาการตามแบบที่ดาร์วินสันนิษฐานไว้ด้วย  คือ ไม่ปฏิเสธดาร์วิน ทั้งไม่ปฏิเสธพุทธพจน์ แต่จะนำมันมาประสานกันเข้า  คือ เรื่องกำเนิดมนุษย์ เอาตามพระพุทธเจ้า  เรื่องกำเนิดดิรัจฉานในทางกายภาพเอาตามดาร์วิน แต่กลไกทางจิตนั้น จะแต่งให้มนุษย์ที่ตายแล้วเข้าไปเกิดเป็นดิรัจฉาน

เอ...หรือว่า พวกช้าง ม้า วัว ควาย .....สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายตกลงมาจากอากาศ?  อันนี้ไม่เอาหรอก  ถึงจิตจะเหนี่ยวนำอย่างไร ก็ไม่น่าจะตกจากอากาศได้

อีกประการหนึ่ง แล้วการปรากฏแห่งพืชพรรณต่างๆ เป็นต้นว่า ขนุน ฝรั่ง ลำใย แอปเปิ้ล.... พวกนี้ มันมาจากไหนกัน?  ตกจากฟ้ามาเหมือนพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ไหมล่ะนี่?  หรือว่าจะแต่ให้มันค่อยๆวิวัฒนาการขึ้นตามดาร์วินดี   อันนี้จะพิจารณา แล้วตัดสินใจพล็อตเรื่องให้มันเลย  ไม่สนใจว่าผิดหรือถูกล่ะนะ เพราะ ไม่รู้จริงๆนะครับ

 

หมายเลขบันทึก: 159857เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2008 21:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 13:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท