ออฟฟิศตกลงใจกันว่าจะแยกขยะ และทดลองทำมาหลายเดือนแล้ว
ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา มีการทบทวนเรื่องนี้กัน ปรากฏว่าผลจากการแยกขยะนำมาสู่การปรับพฤติกรรมของหลายคน ตั้งแต่ผู้จัดการท่านจะพกกระป๋องน้ำ แทนการดื่มน้ำจากขวด(ที่ออฟฟิศจะซื้อมาใช้เสิร์ฟในการประชุม) บางคนห่อข้าวใส่กล่องมาจากบ้าน แทนการไปซื้อข้าวใส่ถุงพลาสติก(ส่วนใหญ่สาวๆ จะซื้อข้าวเข้ามากินในห้องอาหาร) เนื่องจากที่ออฟฟิศล้างถุงพลาสติกที่ใช้แล้วเพื่อนำไปบริจาคมาพักนึงแล้ว ถุงแขวนเต็มหลังบ้านไปหมด(เรียกออฟฟิศว่าบ้านกัน)
รอบนี้ ลองขยับมาดูขยะเปียกที่แยกไว้เพื่อนำมาทำปุ๋ยน้ำ(ขยะหอม) ปรากฏว่าแค่ 2 สัปดาห์ก็มีขยะเปียก(เศษอาหารผัก ผลไม้) มาทำขยะมากมาย ซึ่งต้องหมักในถังต่อไปอีกหลายเดือน คำถามคือ เอาไงดี เพราะไม่มีพื้นที่หมักมากมายขนาดนั้น
สรุปว่า ซื้อเท่าที่กิน กินให้หมด เพื่อจะได้ไม่ต้องทิ้ง หรือทิ้งให้น้อยที่สุด
ในส่วนตัวเราคิดว่า การจะทำอะไรสักเรื่อง เมื่อทบทวนอยู่บ่อยๆ ต่อเนื่อง จะทำให้จิตละเอียดขึ้น และมีปัญญาหาทางออกได้มาก แต่ในสังคมสมัยนี้มีสิ่งเร้ามากมายให้เตลิดเพลิดส่งจิตไปแต่ข้างนอก ไม่ได้ใส่ใจภายในเลย เมื่อเทียบคนสมัยก่อนจิตนิ่งเนื่องจากมีวิถีชีวิตที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ต้องน้อมเข้าไปรับ ไปเรียนรู้เพื่ออยู่กับธรรมชาติให้ได้ จึงต้องใช้ใจเรียนรู้มาก อีกทั้งความคิดความเชื่อเรื่องมีโลกหน้าหรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคือการไปสู่นิพพาน ซึ่งวิธีรู้ในความรู้ชุดนั้นมันคนละเรื่องกับวิธีรู้ในความรู้สมัยใหม่
คนสมัยนี้จึงมีวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการทำให้โลกร้อนมากขึ้น
ตัวเราเองก็เข้าใจเรื่องนี้อยู่ แต่ความรู้กับความจริงมันคนละเรื่องจริงๆ เพราะถ้าเป็นเรื่องการกินการใช้จ่าย ก็มีเซเว่นตั้งล่อเป้าอยู่หน้าบ้าน ห้างสรรพสินค้าก็อยู่ห่างออกไปหน่อย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตกินอยู่หลับนอนให้ตรงตามนาฬิกาชีวิตนะ ก็ในเมื่อมีตัวขี้เกียจเกาะหนาอยู่ อย่างนี้ จะเอาดีได้ยังไง
ต้องอบรมตัวเองมากๆ และบางทีต้องขอแรงกัลยาณมิตรชาว G2K มาช่วยกระตุ้นจ้ะ จะได้เกิดสำนึกบ่อยๆ และทำให้ความรู้กับความจริงมาอยู่ด้วยกัน
หุ หุ ..หาว่าอ๋อใจร้ายได้นะคะ คุณนุช
จะทำไงดีล่ะค่ะ ซื้อของกินมาทีไรก็เยอะแยะ แถมไม่เคยจะกินเหลืออีกต่างหากค่ะ
ว่าแต่ว่า เย็นนี้ไปทานอาหารเกาหลีด้วยกันดีกว่า คุณนุช
ตามมาชวนอ้วนอีกต่างหาก โฮ๊ะๆๆ
อ๋อจ้ะ
คุณนุช เมื่อวานนี้อ๋อมัวแต่อยากชวนคุณนุชไปทานอาหารเกาหลี มองไม่เห็นบันทึก หมดมุก ของคุณนุชเลยค่ะ แวะไปชมแล้วนะคะ
ตั้งแต่เด็กมาแล้ว อ๋อกินเรียบ ไม่เคยเหลือทิ้งไว้เป็นขยะเลยค่ะ นอกจากเหลือเศษก้างปลา กระดูก เปลือก ที่ทานไม่ได้จึงจะเหลือ แต่เป็นคนทานอาหารเกลี้ยงจานเป็นนิสัยค่ะ
พูดถึงเรื่องลดโลกร้อน แทบทุกเช้าอ๋อจะไปซื้อกับข้าวมาทานที่บ้านเองค่ะ แล้วอ๋อก็เป็นคนเดียวในซอยที่ใช้ปิ่นโตเถาหนึ่งไปซื้อ เป็นปิ่นโตที่ใครเห็นใครทัก ทั่วซอย เพราะใครๆก็รู้จัก หมออ๋อ กันทุกคน ร้านกับข้าวนี้ก็มีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้นค่ะ
"หมออ๋อใช้ปิ่นโตเหรอคะ" , "หมออ๋อใช้ปิ่นโตลดโลกร้อนเหรอคะ" , "ดีจังนะคะหมออ๋อ" , "หมออ๋อรู้ไหมว่าป้าร้อนมือเวลาตักกับข้าวใส่ปิ่นโตให้หน่ะ(นี่เป็นเสียงป้าแม่ค้า) "
แรกๆอ๋อก็ยิ้มรับทำนองว่า ใช่ค่ะ ลดขยะถุงพลาสติก ลดโลกร้อนนะคะ
ผ่านจากวัน เป็นเดือน จนหลายๆๆๆๆเดือนจะเป็นปีแล้ว ทั่วทั้งซอย คนทั้งร้านชาชิน ชินชากับ ปิ่นโตเถาเดียวของหมออ๋อกันหมด เลิกทักกันไปนานแล้ว แต่ไม่มีใครมาใช้ปิ่นโตกับอ๋อเลย ตอนนี้ก็ยังเป็นปิ่นโตเถาเดียวอยู่อย่างเดิมแหละค่ะ
ยอมรับค่ะว่า ปิ่นโตของอ๋อช่วยลดขยะที่บ้านอ๋อแน่ๆ และดีต่อสุขภาพอ๋อและครอบครัวแน่ๆ ถุงพลาสติกกับอาหารร้อนไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีใครมาใช้ปิ่นโตเป็นเพื่อนอ๋อ ปิ่นโตเถาเดียวของอ๋อก็ไม่อาจเอื้อมจะอ้างถึงอานิสงค์อันประเสริฐถึงขั้นช่วยลดโลกร้อนหรอกนะคะ
มาใช้ปิ่นโตด้วยกันนะคะ แรกๆจะเขินๆบ้าง นานๆจะรู้สึกเหมือนเป็นผู้พิทักษ์โลกค่ะ มั่นใจในทุกสิ่งที่ทำถ้าเห็นว่าดีค่ะ บ่นยาวไปไหมเนี่ย
อ๋อค่ะ
เถาเล็กเดี๋ยวไม่อิ่มค่ะ แนะนำเถาใหญ่ไปเลย แล้วมาออกกำลังกาย บึดจ้ำบึด เอาทีหลัง อิ อิ
อ๋อจ้ะ