เงิน 100 บาทสำหรับดิฉันแล้วมันไม่ได้มากมายอะไรสักเท่าไร หายไปก็เสียดายนิดหน่อย แต่คุณเชื่อไหมว่าในช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมาเงิน 100 บาททำให้ดิฉันรู้สึกเศร้ามากกว่าที่มันจะหายเสียอีก เพราะมันทำให้ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าคนไทยเห็นคุณค่า (value) หรือซาบซึ้ง (appreciate) กับคำว่า ซื่อสัตย์ น้อยลงทุกที
ที่ดิฉันใช้คำว่า เริ่ม เพราะว่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันสะกิดใจเกิดขึ้นถึง 2 ครั้งในรอบ 1 อาทิตย์ ครั้งแรกไม่เท่าไหร่ แต่ครั้งที่ 2 มันสะกิดใจดิฉันจนถึงขนาดทำให้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ครั้งแรกที่เกิดตอนต้นอาทิตย์ซึ่งดิฉันเกือบลืมไปแล้ว
เหตุการณ์แรกเกิดที่ร้านสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ดิฉันไปซื้อของราคารวมแล้วก็สองร้อยกว่าบาท ดิฉันรับเงินทอนมาแล้วก็เอะใจว่า อ้าว ทำไมมันเหมือนจะเกินมาร้อยนึง ก็ลองลบเลขในใจดูแบบงงๆ ว่าให้ไปห้าร้อย ซื้อของสองร้อยกว่า ก็ต้องทอนสองร้อยกว่าสิ ดิฉันเลยเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์เก็บเงินบอกว่า น้องๆทอนมาเกินร้อยนึงหรือเปล่า พี่ซื้อสองร้อยกว่า ก็ต้องทอนสองร้อยกว่าสิ ว่าแล้วก็ควักเงินคืนไป 100 บาท น้องผู้หญิงที่เคาน์เตอร์ก็รับเงินคืนไปพร้อมคำว่าขอบคุณตามแบบฉบับ (ถ้าเขาไม่ขอบคุณนี่ ดิฉันคงได้เล่นบทอาจารย์สั่งสอนกันอยู่ตรงนั้น) แต่หลังจากนั้นเขาก็คุยกับเพื่อนๆต่อถึงเรื่องทอนเงินผิด กลายเป็นเรื่องโจ๊ก เรื่องซวยไป
แต่เหตุการณ์ที่สองนี่สิ คุณอ่านจบแล้วลองช่วยบอกหน่อยว่าดิฉันควรมีความรู้สึกเหมือนที่ดิฉันเป็นหรือไม่ หรือว่าดิฉันคิดมากไปเอง
เหตุการณ์ที่สองนี้เกิดที่ Big C ขอนแก่น เมื่อบ่ายนี้เอง หลังจากไปส่งเพื่อนที่สนามบิน ดิฉันก็ไปช็อปปิ้งอย่างเมามันเพราะว่าไม่ได้ไปมานานมากแล้ว จ่ายเงินไปเกือบสองพัน พอได้ใบเสร็จมา ก็ลองตรวจดูตามปกติ ปรากฎว่ามี 2 รายการที่ราคามันแปลกๆ รายการแรกเป็นน้ำผลไม้ ซึ่งดิฉันซื้อเป็นแพ็ค 4 ซึ่งราคา 29 บาท แต่ราคาในใบเสร็จแสดงเป็น 9 บาท ซึ่งคือราคากล่องเดียว คาดว่าคงเป็นเพราะเขาไม่ได้อ่าน barcode ที่เป็นของแพ็คแต่ไปอ่านที่เป็นเดี่ยวๆ อีกรายการหนึ่งคือกางเกงวอร์มซึ่งดิฉันซื้อมา 2 ตัวตัวนึง 199 บาท อีกตัวนึง 279 บาท ปรากฎว่าตัวที่ราคา 279 บาทราคาในใบเสร็จเป็น 199 บาท สงสัยพนักงานยิง barcode ของตัวถูกกว่าซ้ำ ดิฉันเห็นอย่างนี้ก็เลยเดินไปที่ counter service ของ Big C แล้วก็บอกเขาว่าคิดราคาผิด คือคิดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดิฉันจะมาจ่ายเงินเพิ่ม เชื่อไหมคะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความวุ่นวาย เพราะพนักงานต้องไปถามหัวหน้า ตรวจดู aisle ที่ขายสินค้า สุดท้ายคือกลับมาบอกดิฉันว่า ต้องกลับไปที่ aisle ที่ซื้อสินค้าเพื่อให้เขาอ่าน barcode คืนของและซื้อใหม่ ดิฉันแทบกรี๊ด บอกไปว่า นี่ดิฉันมาบอกว่าคุณคิดเงินดิฉันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดิฉันจะมาจ่ายเพิ่ม คุณยังจะให้ดิฉันไปยืนรอแถวเพื่อทำรายการอีกหรือ ดิฉันรีบ จริงๆจะเดินไปเลยไม่มาบอกก็ได้ใครจะมารู้ว่าดิฉันซื้อของถูกไปเป็นร้อย พอพูดเสร็จพนักงานเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปจัดการให้ค่ะให้ดิฉันรออยู่ตรงนี้ ดิฉันเลยควักเงินให้บอกว่า ไปจัดการให้ด้วย รอไปสักพักพนักงานก็กลับมาพร้อมกับบิลใหม่และเงินทอน ซึ่งจริงๆดิฉันต้องจ่ายเพิ่ม 99 บาท แต่คุณเธอปรับให้เรียบร้อยว่าเป็นคุณพี่ต้องจ่ายเพิ่ม 100 บาท ดิฉันเกิดอาการเซ็งเกินร้อยเลยช่างมัน 1 บาทก็ถือว่าให้กำไร Big C หรือพนักงาน Big C ไปก็แล้วกัน ก่อนดิฉันจะไป พนักงานคนนั้นก็กล่าวคำว่า ขอโทษนะคะที่ให้รอ โอ๊ย ดิฉันอยากจะกรี๊ดรอบสอง เดาเอาเองแล้วก็ค่ะว่าเพราะอะไร แต่ก็ได้แต่คิดค่ะ ไม่ได้กรี๊ดใส่หรอก จริงๆเขาอาจจะคิดได้ทีหลังแต่ว่าความคิดคนเราเร็วกว่าแสงอีกนะคะ ดิฉันเลยแอบมีความคิดอย่างที่คิดอยู่ไม่ได้
ขออภัยนะคะดิฉันกำลังคิดว่า ถ้าเป็นที่เมืองนอกเมืองนาที่ดิฉันไปอาศัยเขาอยู่ 10 กว่าปี แล้วดิฉันทำอย่างที่ดิฉันทำใน 2 เหตุการณ์ด้านบนนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองจากร้านค้าคงไม่เป็นอย่างนี้แน่นอนค่ะ จะว่าดิฉันหัวนอกก็ว่าไปเถอะค่ะ แต่ดิฉันว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่คนควรจะ appreciate มากกว่านี้ ไม่ใช่ take it for granted อย่างที่เป็นๆกันอยู่ทุกวันนี้ (ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าจะใช้ประโยคภาษาไทยอย่างไรดีถึงจะเข้ากับอารมณ์และความหมายได้ดีกว่านี้)
คุณคิดว่าอย่างไรก็บ้างคะ ช่วยออกความคิดเห็นกันหน่อยค่ะ
คิดว่า ที่ไหนก็มีทั้งคนดีไม่ดี
พอดีเราไปเจอคนไม่ดีมากว่าค่ะ