ลุงตี๊ ชายดี...เรื่องเล่าบทใหม่จากแม่อาย
โดย ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว เมื่อ มิถุนายน 2551
ชายชราวัย 74 ปี ที่มีโรคประจำตัวคือความดันสูง ได้บอกเล่าเรื่องราวของตนหลังจากที่ได้รับการรักษาพยาบาลจนสามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านอีกครั้ง
----------------
เรื่องของลุงติ๊
-----------------
นายติ๊ ชายดี หรือ ลุงติ๊ ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านร่มไทย ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ได้เล่าประวัติให้เราฟังว่า ตนเกิดเมื่อพ.ศ.2477 บิดาชื่อนายดี มารดาชื่อนางแก้ว โดยทั้งบิดา มารดาและตนเองเกิดที่บ้านป่าก่อดำ จังหวัดเชียงราย
จนกระทั่งอายุ 12 ปี ได้บวชเณรเดินดงมากับพระอาจารย์ไปทางแม่สายไปเมืองตุม จนถึงบ้านป่าเงี้ยวในประเทศพม่า อยู่ได้ 5 ปีก็เดินทางกลับประเทศไทย โดยมาจำวัดที่วัดแม่สาวและย้ายมาจำวัดแม่อาย จากนั้นมีชาวบ้านมานิมนต์ไปจำวัดที่สบยอนนาน 2 ปีก็ลาสิกขาแล้วไปอยู่กับนายตาลแสง
ต่อมาลุงติ๊แต่งงานและย้ายมาอยู่กับนางต่อมและป้าชื่อป้าแก้ว ซึ่งตอนนี้ป้าแก้วยังมีชีวิตอยู่มีอายุ100 ปี ส่วนนางต่อมเสียชีวิตที่ท่าตอนหลังจากอยู่กินกันได้เพียง 6 ปี ลุงติ๊จึงไปแต่งงานกับนางหลู่ ชึ่งเป็นหลานของพระมหานามเป็นเจ้าอาวาสวัดภาวนานิมิต รูปปัจจุบัน ทั้งสองไม่มีบุตรจึงเลิกกัน
ต่อมาลุงติ๊ก็ไปแต่งงานกับนางจั่งมีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาก็เลิกกันอีก ลุงติ๊จึงไปแต่งกับนางฟอง ซึ่งเสียชีวิตแล้ว มีบุตรด้วยกัน 3 คน และนายติ๊ได้แต่งงานใหม่กับภรรยาคนปัจจุบันคือนางตาลซึ่งไม่สมประกอบหูหนวกพูดช้าโดยมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน
ลุงติ๊เล่าว่าหลังออกจากกบ้านก็ไม่เคยกลับไปที่บ้านป่าก่อดำอีกเลย เพราะกลัวตำรวจเนื่องจากไม่มีบัตรประชาชน ประมาณ พ.ศ 2514 มีญาติมาจากบ้านป่าก่อดำมาตามหาคนชื่อนายติ๊โดยมาสอบถามภรรยาคนที่ชื่อนางฟอง แต่นางฟองบอกว่าไม่รู้จักญาติจึงกลับไป
และเมื่อเราเข้าไปสอบถามข้อมูลในหมู่บ้าน นายวง ขุนคำ เล่าว่าเห็นลุงติ๊ตอนบวชเป็นเณรมากับพระอีกรูป ส่วนนางคำ น้อยถา รู้จักตอนที่ลุงติ๊ไปที่สบยอนตั้งแต่เป็นเณรไปพร้อมกับพระแต่พระได้กลับบ้านป่าก่อดำจังหวัดเชียงรายส่วนนายติ๊ไม่กลับหลังจากลาสิกขาก็มาตั้งครอบครัวที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย และยายแก้ว ชึ่งเป็นป้าของภรรยาคนแรกของลุงติ๊นั้นชรามากจนพูดไม่ได้ โดยหลานเขยชื่อนายกุ่งนะได้เล่าให้ฟังว่ารู้ว่าลุงติ๊มาจากบ้านป่าก่อดำและตนได้บวชเณรอยู่ร่วมวัดเดียวกับนายติ๊ ซึ่งข้อมูลที่ทุกคนเล่านั้นเล่าตรงกับของลุงติ๊
-----------------------
คนไทยไร้สัญชาติ
------------------------
ทั้งนี้ข้อเท็จจริงที่ปรากฎคือ ลุงติ๊มีเอกสารซึ่งออกโดยกรมการปกครอง 3 ฉบับ คือ แบบ.พ.ถ.2.1 ทร.13 ซึ่งระบุว่าเข้าเมืองมาเมื่อ พ.ศ.2514 และ บัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเลขประจำตัว 6501000042507 และเคยยื่นคำร้องขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวแล้วเมื่อมีรายชื่อมาให้ไปรับเอกสารดังกล่าวแต่ลุงติ๊ไม่ไปรับเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียม
ดังนั้นสถานะบุคคลของลุงติ๊ในปัจจุบันจึงตกเป็น คนไร้สัญชาติ เพราะไม่ได้รับการยอมรับว่ามีสัญชาติของรัฐใด อย่างไรก็ตามลุงติ๊ไม่ได้ตกเป็น คนไร้รัฐ เนื่องจากได้รับการยอมรับในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย
แต่จากข้อเท็จจริงที่ว่าลุงติ๊ เกิดในประเทศไทยจากพ่อแม่ที่เกิดในประเทศไทยเช่นกัน จึงทำให้ลุงติ๊ซึ่งควรจะมีสัญชาติไทย ต้องตกอยู่ในสถานะของคนต่างด้าวในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย
------------------------------------
เมื่อลุงติ๊ต้องเข้าโรงพยาบาล
-----------------------------------
ลุงติ๊มีโรคประจำตัวคือความดันสูง ครั้งหนึ่งลุงมีอาการปวดศีรษะและสลบไป ภรรยาจึงไปเรียกลูกๆของลุงพาส่งตัวไปโรงพยาบาลแม่อาย เมื่อหมอตรวจอาการพบว่าความดันสูงถึง220 จึงต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล 5 คืน แต่อาการไม่ดีขึ้น
ทั้งนี้ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลแม่อาย โดยลุงติ๊ได้ยื่น บัตรประกันสุขภาพ รุ่นเก่า ที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกให้แก่คนต่างด้าวที่มีชื่อในทะเบียนบ้านคนอยู่ชั่วคราว(ท.ร.13) แต่ขณะนั้นไม่สามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ หมอจึงเก็บไว้แล้วทำ หนังสือรับรองผู้สูงอายุของโรงพยาบาลแม่อาย ให้
ต่อจากนั้นได้ส่งตัวลุงไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลไท จังหวัดเชียงราย หมอตรวจอาการแล้วบอกว่าความดันโรหิตสูงเส้นเลือดฝอยแตกต้องผ่าตัดสมอง ลูกของลุงติ๊ได้ยินยอมให้หมอทำการผ่าตัด โดยนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลไทเป็นเวลา 4 คืน
เมื่ออาการดีขึ้นหมอจึงให้กลับไปนอนที่โรงพยาบาลแม่อายเพราะอยู่ใกล้บ้าน และไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลไทเพราะโรงพยาบาลแม่อายส่งประวัติให้กับทางโรงพยาบาลไท และทุกวันนี้ลุงติ๊ก็ยังไปรับยาที่โรงพยาบาลแม่อายเป็นประจำ
------------------------------------
เรื่องเล่าบทใหม่จากแม่อาย
-------------------------------------
จะเห็นได้ว่าลุงติ๊นั้นอยู่ในสถานะของคนต่างด้าวในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยซึ่งไม่มีหลักประกันสุขภาพใดๆในปัจจุบัน แต่เมื่อลุงติ๊ล้มเจ็บและต้องไปโรงพยาบาลซึ่งแม้ว่าสถานะบุคคลในปัจจุบันจะไม่ใช่คนสัญชาติไทยก็ตาม ลุงติ๊ซึ่งแก่ชราและยากไร้กลับได้รับการดูแลรักษาฟรีเช่นเดียวกับคนสัญชาติไทย
เมื่อย้อนเปรียบเทียบกับกรณีของน้องออย[1] เด็กหญิงตัวน้อยแห่งแม่อายนั้นซึ่งต้องผจญกับปัญหาด้านสุขภาพและไม่มีหลักประกันสุขภาพใดๆ ซึ่งการปฏิบัติของอำเภอและโรงพยาบาลแม่อายในครั้งนั้น ได้ส่งผลให้น้องออยต้องจากไปด้วยวัยไม่ถึง 2 ขวบ
นอกจากนี้ลุงติ๊ยังนับว่าโชคดี ที่แม้ว่ายังไม่ได้พิสูจน์สัญชาติไทยให้แก่นายตี๊แต่ก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธสิทธิมนุษยชนด้านสาะรณสุข ในขณะที่กรณี ป้าเจรียง เอี่ยมละออ[2] คนไทยซึ่งไม่มีเอกสารแสดงตนใดๆ ลูกสาวของเธอพยายามขอความอนุเคราะห์จากโรงพยาบาลต่างๆ ให้ช่วยรักษาแม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยอนาถาหรืออะไรก็ตาม แต่กลับได้รับการปฏิเสธ โดยหมอให้เหตุผลว่ารัฐบาลได้นำเอากองทุนต่างๆ ที่อยู่ตามโรงพยาบาลไปรวมเข้าเป็นกองทุน 30 บาท และจะให้บริการเฉพาะสมาชิกของกองทุนเท่านั้น สุดท้ายป้าเจรียงต้องอำลาโลกไปด้วยโรคมะเร็งอย่างอนาถ
สำหรับกรณีของลุงติ๊ จึงนับได้ว่าเป็น เรื่องเล่าบทใหม่ของแม่อาย ซึ่งโรงพยาบาลแม่อายได้เลือกที่จะดูแลคนซึ่งไม่ใช่คนสัญชาติไทยได้อย่างน่าชื่นชม
เพราะอย่าว่าแต่ค่ารักษาพยาบาลเลย ความยากไร้ในวันนี้นั้นทำให้ลุงติ๊ไม่รู้ว่าจะมีค่าธรรมเนียมจำนวนหลักพันเพื่อไปขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเมื่อไหร่
[1] อ่าน ย้อนบันทึกชีวิตที่ปลิดปลิว...ของน้องออย[1] เด็กหญิงตัวน้อยแห่งแม่อาย โดย ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว วันที่ 10 มีนาคม 2551
[2] กรณี ป้าเจรียง เอี่ยมละออ ,คอลัมน์ กวนตะกอน หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10347
.......................................
อ่านเรื่องของนายติ๊เพิ่มเติม ได้ที่ นายตี๊ ชายดี : กรณีศึกษาสิทธิมนุษนชนทางสุขภาพของคนไร้สัญชาติในประเทศไทย โดย นางบุญ พงษ์มา และ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=410&d_id=409
ทามมายตัวหนังสือมันเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่
ก่อนเปะในเว็บโกทูโน เอาไปเปะใน notepad ก่อน จะทำให้คำสั่งทางคอมที่ค้างอยู่หายไปค่ะ จะไม่เกิดอาการที่ว่า
ถ้าลุงแกพิสูจน์ได้ว่า พ่อแม่เกิดในไทย แกก็มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
แต่แม้แกพิสูจน์ได้แค่ แกเกิดไทย แกก็จะได้สัญชาติไทยตามโดยการร้องขอ
แต่ถ้าแกพิสูจน์ว่า เกิดไทยไม่ได้ แกก็ต้องไปขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
เรื่องของแกนะ ยังต้องการทนายความตีนเปล่าอีกมาก
น่าสงสาร ถ้าเอาหลักประกันสุขภาพไปผูกกับสัญชาติไทยนะ แกคงตายเสียก่อนที่จะได้สิทธิ