วันที่สองของชั้นเรียนโยคะมีผู้มาเรียน 4 คน เพราะหนูน้อยต้องอ่านหนังสือสอบ อีกหนึ่งคนท้องเสีย คนสุดท้ายไปธุระ อย่างน้อยคนที่มาวันนี้ก็ตั้งใจ ดูได้จากการมาก่อนเวลาเล็กน้อย ผิดจากเมื่อวานที่มาสายไปครึ่งชั่วโมง สอบถามถึงสุขภาวะทั่วไป ป้าคนหนึ่งบอกว่าเมื่อวาน ก่อนเรียนคอเคล็ดแต่ไม่กล้าบอก เลยทำไปเรื่อยๆโดยไม่ได้กินยาแก้ปวดทั้งๆที่เพื่อนบอกให้ไปหาหมอ หลังทำโยคะ ป้าบอก"อาการดีขึ้นมาก ไม่ต้องกินยาและนอนหลับสนิท" ป้าคนที่สองบอกว่ากลับไปลองทำที่บ้านบางท่า หลับสนิทและนานมาก ย้ายมาอยู่บ้านนี้ 10 ปี ไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้มาก่อน วันนี้เลยรีบมาก่อนเวลา จะได้ฝึกนานๆโดยที่ยุงไม่กัด สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้คือ ผู้เรียนอาจไม่กล้าบอกอาการเจ็บป่วย แต่มีความตั้งใจจะเรียนจริงๆ เราในฐานะครูคงต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจในการที่จะได้มาซึ่งข้อมูล และอีกสิ่งที่สำคัญคือ โยคะที่ครูสอนเป็นโยคะที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงแม้ร่างกายจะไม่พร้อม เพราะเราจะทำด้วยความ นิ่ง สบาย ใช้แรงน้อย และมีสติ ทำให้เราสามารถฝึกภายใต้ข้อจำกัดของร่างกาย
พูดถึงฝูงยุงที่รุมเมื่อวาน วันนี้ก่อนเริ่มทำอาสนะก็ได้พูดคุยกับผู้เรียนเรื่องยมะทั้ง 5 ผู้เรียนบอกว่าเขายังเคยชินกับการต้องตบยุง เมื่อไรที่ยุงมากัดเราต้องตบหรือปัด คงลำบากที่จะปฏิบัติในข้อนี้ ก็เลยต้องทบทวนเรื่อง "เป้าหมาย" ของการฝึกโยคะ พร้อมถามผู้เรียนว่า
ถาม: "เราสามารถห้ามให้ยุงมาเกาะได้หรือไม่?"
ตอบ: "ไม่ได้"
ถาม: "แล้วเราจะทำอย่างไรให้ยุงไม่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาจิต?" เรากำลังฝึกโยคะเพื่อไปสู่สมาธิ "หากเรามัวแต่ไล่ยุงแล้วเราจะมีสมาธิอย่างไร?"
ตอบ: "จริงด้วย" เมื่อวานตอนที่พี่สมาธิดีๆ พี่ไม่ต้องไล่ยุง พอดีได้กลิ่นเหม็นเข้าจมูก กำหนดสติไม่ทัน ยุงก็เริ่มมาตอม (พี่ที่ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ เป็นผู้ตอบ)
ในช่วงระหว่างเรียนหนึ่งชั่วโมงครึ่งมีผู้ไล่ยุงเพียงสองครั้งเท่านั้นเอง ก็คงเป็นคำตอบให้ผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
การฝึกอาสนะวันนี้เริ่มด้วยการเกร็งและคลาย ทบทวนท่าเมื่อวานท่าละ 2 รอบ ทุกคนทำด้วยความนิ่ง และสามารถรับรู้ถึงความผ่อนคลายที่มีมากกว่าเมื่อวาน คิ้วไม่ขมวด ทำช้าๆ และต่อเนื่อง จากนั้นเริ่มสาธิตท่างู และการเปลี่ยนจากท่าจรเข้มาเป็นท่าวัชระ การฝึกท่างูให้ทำสามรอบสลับกับท่าจรเข้ ผู้เรียนยังลืมเรื่องเท้าที่ต้องหันออกข้างนอกอยู่สองคน เราก็คอยจัดท่าเป็นระยะ ส่วนท่างูรอบแรกผู้เรียนเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างกัน แต่ไม่มีใครฝืนที่จะพยายามยกให้สูงหรือใช้มือดัน แต่การสังเกตยังไม่ค่อยละเอียด เวลาเราบอกให้หนีบศอกเข้ากับลำตัว บางคนไม่เข้าใจ ต้องเดินไปจับให้รู้ว่านี่คือการหนีบศอก ครั้งต่อๆมาก็ทำได้ถูกต้อง ครั้งสุดท้ายเราบอกให้ผู้เรียนสังเกตบริเวณคอ หลัง หน้าท้อง สะบัก ทรวงอก ขา มือ ว่าเกิดอะไรขึ้น (ตามประสบการณ์ของตนเองที่ได้จากการฝึกสังเกตเวลาทำอาสนะ) พี่คนหนึ่งบอกว่าสองครั้งแรกไม่มีอาการเจ็บบริเวณสะบัก แต่ครั้งสุดท้ายลองพยายามยกให้สูงขึ้นกว่าเดิม รู้สึกเลยว่าเจ็บ เราก็เลยย้ำว่าถ้าทำถูกหลักต้องไม่เกิดการบาดเจ็บ แสดงว่าพี่ฝืนร่างกายมากเกินไป
การฝึกท่านั่งวัชระ พบว่าส่วนใหญ่ทำไม่ได้ เลยให้ทุกคนหยุด แล้วฝึกทำทีละคน คนอื่นๆให้ดูเพื่อนทำ โดยเราค่อยแก้ไข จนผู้เรียนสามารถทำได้ง่าย ต่อเนื่องกว่าเดิม คนหนึ่งฝึกประมาณ 3 รอบ เพราะถ้าไม่หัดทีละคน ผู้เรียนจะทำแล้วดูเก้ๆกังๆ สติจะหลุด เงยศีรษะเร็วเกินไป หน้าจะมืด เลยต้องค่อยๆประคองศีรษะขึ้นมาจนอยู่ในแนวเดียวกับหลังแล้วค่อยๆยกทั้งหมดขึ้นช้าๆ จนทุกคนทำได้ แต่ยังไม่ได้ให้กำหนดสติรับรู้ละเอียด เอาท่าทางให้ได้ก่อน จากการฝึกสอนมาสองวัน พบว่า เราต้องรู้จักผู้เรียน อาจต้องให้ทำซ้ำ 2-3 รอบ (สลับกับการคลาย) เพื่อให้แน่ใจว่าเขาทำอาสนะได้ถูกต้อง ก่อนที่จะให้เขาเอาจิตไปรู้กับกายให้ละเอียดขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการทำอาสนะ
ก่อนจะจบการเรียน ก็ได้แจกเอกสารให้การทำท่าอาสะที่ได้จากงาน Humanized health care ที่มูลนิธิสดศรีจัด ขนาด A4 องค์ประกอบของโยคะ และการกินอาหารที่เป็นมิตร (มิตราหาระ = มิตร + อาหาร) ทั้งหมด 3 แผ่น ได้มีโอกาสพูดถึงความสำคัญของยมะและนิยมะต่อการฝึกโยคะ ส่วนนิยมะพูดเพียงข้อเดียวก่อน เน้นเรื่องความอดทนและความเพียรที่จะฝึก และแนะนำให้ไปฝึกต่อเองที่บ้านทุกวันจนกว่าจะพบกันใหม่สัปดาห์หน้า การพูดคุยเรื่องการรับประทานอาหาร พบว่า ทุกคนเคี้ยวอาหารประมาณ 2-3 คำแล้วก็กลืน หลายคนต้องกินขมิ้นชันเพื่อลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ (รวมทั้งพี่ข้าพเจ้า 555) ก็เลยอธิบายสรีรวิทยาของการย่อยอาหารประเภทต่างๆแบบง่ายๆ แล้วโยนคำถามเรื่องการรับประทานอาหารที่มากจนล้น โดยได้ตัวอย่างจากการบรรยายของพี่แมว เนื่องจากทุกคนที่มาฝึกเป็นแม่บ้านต้องทำอาหาร ต้องใช้เครื่องปั่นมูลิเน็กซ์ทั้งนั้น (แม่บ้านสมัยใหม่ก็อย่างนี้แหละ ครกก็เลยเป็นม่าย)
ถาม: ใครเคยปั่นอาหารด้วยมูลิเน็กซ์บ้าง? เวลาเราใส่ของที่จะปั่นลงไปเต็มโถปั่น ประสบการณ์ของเราเป็นอย่างไร?
ตอบ: ปั่นยาก ใช้เวลานาน ปั่นได้เฉพาะด้านล่าง ต้องถอดมาเขย่าแรงๆหลายครั้งให้ของข้างบนลงไปอยู่ข้างล่างจึงจะปั่นได้มากขึ้น
เราก็เลยได้ทีอธิบายว่ากระเพาะของเราก็มีหน้าที่เหมือนมูลิเน็กซ์ คือทำให้อาหารชิ้นใหญ่คลุกเคล้ากับน้ำย่อยจนเล็กลง ถ้าเราเคี้ยวอาหารเร็วๆ รีบกลืนลงมา อาหารที่มาถึงกระเพาะก็ยังมีชิ้นใหญ่อยู่ เช่นกันถ้าเรากินจนอิ่มแปร้ มันก็จะเหมือนมูลิเน็กซ์ที่ใส่ของลงไปจนเต็ม อาหารก็ย่อยยาก ย่อยช้า ท้องก็แน่น อืด เฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว เราควรกินของแข็ง 2 ส่วน น้ำหนึ่งส่วน และเหลือที่ว่างหนึ่งส่วน เพื่อให้เหลือเนื้อที่ให้อาหารมีช่องว่างพบรักกับน้ำย่อยสะดวกขึ้น นอกจากนี้การเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดยังช่วยพัฒนาสมอง ลดน้ำหนัก ดีสำรับคนที่เป็นเบาหวานและไขมันสูงด้วย ผู้เรียนก็พูดขึ้นมา เรามัวแต่เสียดายกับข้าว ของเหลือ หรือของดีโดยเฉพาะเวลาไปกินโต๊ะจีน ก็เลยทำร้ายตัวเราเองซะนี่ ต่อไปนี้ต้องเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น กินให้น้อยลงซะแล้ว ถึงตอนนี้ครูก็ไม่ต้องสรุปอะไรอีกแล้ว
ก่อนจากกันก็ได้ให้ผู้เรียนผ่อนคลายอย่างลึกในท่าศพประมาณ 10 นาที วันนี้ไม่มีใครปัดยุงเลย สามารถอยู่ในท่าศพโดยไม่มีเสียงกรน หัวคิ้วคลาย หน้าตาก็เปื้อนรอยยิ้ม แล้วสัญญาว่าจะมาพบกันวันเสาร์หน้าเวลา 16.30 น.
กลับมาถึงบ้านก็ช่วยพี่สาวทำกับข้าว เมนูวันนี้น้ำพริกมะม่วง ปลาทูทอด และปูม้าผัดพริกไทยดำ กับข้าวกล้อง (น้ำลายสอเลยล่ะสิ) เราก็ต้องสร้างความท้าทายให้พี่สาวเล็กน้อย โดยการบอกว่า "ป้า(เรียกตามหลาน) วันนี้ลองเคี้ยวซักคำละสิบทีแล้วกัน สามสิบทีจะลำบากเกินไปนะ ค่อยๆเพิ่มวันหลังก็ได้" "ทำไมจะไม่ได้ เนี่ยเคี้ยวได้ 20-30 ครั้งแล้ว โธ่" 555 ผลปรากฏว่า ป้ากินข้าวจานเดียวไม่ต้องเติม ผักสดหมดไปครึ่งจาน ปูม้าก็เลยตกเป็นของข้าพเจ้า he he he
สวัสดีค่ะ
โห....หมอสุ มีแผน กินปูม้าคนเดียว
ที่จริงหลังจบ เรียนโยคะ สิ่งหนึ่งที่ติดมาคือ เคี้ยวข้าวนานขึ้น ก็เป็นผลดี จริงๆ
หมอสุเขียนได้น่าอ่านนะคะ อีกหน่อย แฟนตรึมแน่ๆเลย
อย่าลืมสร้างแพลนเน็ต แล้นำบล็อกที่เราชื่นชอบ เก็บเข้าแพลนเน็ตนะคะ ดูในคู่มือค่ะ