ย้อนบันทึกชีวิตที่ปลิดปลิว...ของน้องออย[1]
เด็กหญิงตัวน้อยแห่งแม่อาย
โดย ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2551
โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านแม่อาย จากการถูกถอนชื่ออกจากทร.14 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2545 ไม่ได้ส่งผลต่อชาวบ้าน 1,243 คน เท่านั้น แต่ในช่วงเวลาที่กระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมกำลังดำเนินไป กลับต้องมีอีกหลายชีวิตซึ่งเป็นลูกหลานตัวน้อยของพวกเขาได้รับผลเหล่านั้นด้วย
วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2549 “น้องออย” หรือ ด.ญ.สุพัตรา ซอหริ่ง เด็กหญิงตัวน้อย จากไปอย่างอนาถด้วยวัยไม่ถึง 2 ขวบ เพราะวันที่น้องออยเสียชีวิตนั้น แม่ของเธอมีเงินติดตัวแค่ 40 บาท จึงนำเอาไปชื้อเสื่อมาหนึ่งผืน ราคา 30 บาท เพื่อนำมาห่อศพของน้องออย[2]
หลังจาก สุดา ซอหริ่ง ถูกถอนชื่อออกจากทร.14 ได้ทำให้สถานะของเธอขณะนั้นเปลี่ยนจาก “คนสัญชาติไทยโดยการเกิด” เป็น “คนต่างด้าว” และเมื่อเธอได้ให้กำเนิดน้องออย ลูกสาวคนเล็กในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2547 จึงทำให้น้องออยต้องตกอยู่ในสถานะ “คนต่างด้าว” ไปด้วย
นอกจากเกิดมาท่ามกลางความยากไร้ของครอบครัวที่ต้องรับจ้างวันต่อวันมีรายได้ไม่แน่นอนแล้ว น้องออยยังเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอมาก และป่วยเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรัง ความยากลำบากที่ตามมาเมื่อน้องออยไม่สามารถใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค ได้ดังเช่นคนสัญชาติไทยนั้น ทำให้การเทียวเข้าออกโรงพยาบาลแม่อายของเธอเพื่อรักษาตัวนั้นยิ่งสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้เป็นพ่อแม่ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ซึ่งไม่กล้าที่จะพาน้องออยไปรักษาตัวจนอาการหนักหนาเมื่อไหร่จึงหอบหิ้วกันไปโรงพยาบาล โดยสุดาผู้เป็นแม่ต้องเซ็นรับสภาพหนี้กว่า 200,000 บาท ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแม่อาย
ความหวังของสุดาในการที่น้องออยจะได้รับบัตร 30 บาทฯ มีขึ้น หลังจากที่ตัวสุดาเองได้รับความคุ้มครองจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2548 เธอได้รับการเพิ่มชื่อใน ทร.14 อีกครั้ง และกลับสู่สถานะ คนสัญชาติไทยโดยการเกิด จนกว่าจะมีการพิสูจน์เป็นอย่างอื่นโดยอำเภอแม่อาย ซึ่งนั่นย่อมทำให้ลูกหลานของคนแม่อายกว่า 1,243 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ น้องออย จะต้องได้รับการเพิ่มชื่อในทร.14 ในฐานะคนสัญชาติไทยด้วย
แต่ความพยายามนับสิบครั้งของสุดาก็ดูจะสูญเปล่า เนื่องจากอำเภอแม่อายปฏิเสธที่จะเพิ่มชื่อบุตรของชาวบ้านที่ถูกถอนชื่อ โดยอ้างปัญหาว่าจะต้องพิสูจน์การได้สัญชาติไทยของพ่อแม่ที่ถูกถอนสัญชาติไทยทั้ง 1,243 คน ก่อน แม้ว่าจะมีความพยายามในการประสานงานกับทางอำเภอแม่อาย แต่คำตอบที่ได้ก็ยังไม่ชัดเจนและไม่มีการดำเนินการใดๆ
วันที่ 16 มีนาคม 2549 น้องออยได้รับการเพิ่มชื่อเข้าใน ทร.14 และได้รับบัตรทอง หลังจากที่สุดาผู้เป็นแม่ ได้ตัดสินใจอุ้มลูกน้อยที่ชักจนตัวเขียว พร้อมกับบุญ พงษ์มา[3] มาขอความช่วยเหลือที่งาน ตลาดนัดสิทธิมนุษยชนของเด็ก เยาวชน และครอบครัวไร้รัฐ ไร้สัญชาติ[4] ซึ่งจัดขึ้น ณ อำเภอแม่อายในวันนั้น เพื่อทวงถามคำตอบอีกครั้งจากนายอำเภอแม่อาย ซึ่งสุดท้ายได้เลือกเพิ่มชื่อน้องออยตามคำแนะนำของ ภาคีแห่งแม่อาย[5]
แล้ววันนั้นน้องออยที่หายใจอย่างรวยริน ก็ถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ห้องไอซียูโรงพยาบาลนครพิงค์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ น้องออยอาการดีขึ้นแต่ต้องอยู่ในห้องไอซียูอยู่อีกหลายวันและยังคงต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา โดยมีพ่อคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ขณะที่แม่น้องออยทำงานรับจ้างอยู่ที่แม่อายเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆทั้งค่ากิน ค่าเดินทาง
แม้ว่าน้องออยจะได้รับสิทธิใน หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะสายเกินไปสำหรับ น้องออย เด็กหญิงตัวน้อยที่ต้องทนทุกข์กับการเทียวเข้าออกโรงพยาบาล สุดท้ายก็จากไปหลังออกจากโรงพยาบาลมาได้เพียง 1 สัปดาห์ ในขณะที่สุดาเห็นว่าน้องออยอาการดีขึ้นแต่ก็ไม่อาจยื้อลมหายใจของลูกน้อยได้อีก
จากการที่อำเภอแม่ อายไม่ปฏิบัติตาม คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2548 นั้น ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเด็กและเยาวชนที่เห็นภาพชัดเจนจากกรณีของน้องออย หากเพียงแต่สุดาได้รับการดูแลสุขภาพที่ดีกว่านี้ในระหว่างตั้งท้อง และน้องออยซึ่งร่ายกายไม่แข็งแรงอีกทั้งยากจน นั้นจะได้รับการดูแลโดยใช้สิทธิตามหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อย่างที่ควรจะได้รับแล้ว ครอบครัวซอหริ่งคงไม่ต้องสูญเสียสมาชิกไปก่อนวัยอันควร รวมถึงหนี้ที่ค้างชำระกับโรงพยาบาลแม่อายอีกกว่า 200,000 บาท ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นหากสุดายังมีสัญชาติไทย
การลุกขึ้นสู้ของชาวบ้านแม่อายในครั้งใหม่จึงเป็นความพยายามที่จะปกป้องลูกหลานไม่ให้ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก เพราะในระหว่างความล่าช้าของอำเภอแม่อายในการเพิ่มชื่อให้เด็กเยาวชนนับร้อยนั้น สิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเขาก็ได้ถูกละเมิดไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น สิทธิในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การเดินทาง เป็นต้น ทั้งที่การดำเนินการตรวจสอบการได้สัญชาติของชาวบ้านแม่อายเป็นหน้าที่ของกรมการปกครองที่จะต้องดำเนินการแยกส่วนกันกับการรับรองสิทธิในสัญชาติให้กับเด็กและเยาวชนเหล่านี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงควรเป็นบทเรียนให้กับกรมการปกครองที่จะเลือกแนวทางในการแก้ไขปัญหาเช่นนี้ในอนาคตอย่างไร ไปจนถึงแวดวงสาธารณสุขที่ควรจะทำให้ คนยากไร้และประสบปัญหาสุขภาพอย่างหนักอย่างครอบครัวซอหริ่ง กล้าที่จะเดินเข้าไปรับการรักษาพยาบาลด้วยความมั่นใจให้สามารถรักษาได้ทันท่วงที เพื่อไม่ให้ “บาปบริสุทธิ์แห่งแม่อาย”[6] เกิดขึ้นอีกครั้งไม่ว่ากับเด็กเยาวชนคนใดก็ตาม
[1] ข้อมูลจาก กรณีของน้องออย สุพัตรา ซอหริ่ง : การต่อสู้ครั้งใหม่ของแม่และป้าซึ่งเป็นอดีตคนไร้สัญชาติเพื่อลูกและหลานน้อยที่ยังไร้สัญชาติ โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร วันอาทิตย์ที่ 7พฤษภาคม พ.ศ. 2549 http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=290&d_id=289 ,น้องออยล์ : บาปบริสุทธิ์ตัวน้อยแห่งแม่อาย...เสียชีวิตแล้ว โดย นางสาวชลฤทัย แก้วรุ่งเรือง วันที่ 31กรกฎาคม พ.ศ. 2549 http://gotoknow.org/blog/chonruitai-legal-clinic/41813
, รายงานย้อนหลังชีวิตของน้องออย ด.ญ.สุพัตรา ซอหริ่ง ชาวแม่อาย ที่ อ. แหวว เคยให้ชีวิตใหม่น้องออยไว้ โดย นายใสแดง แก้วธรรม วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2549
http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=318&d_id=317
[2] รายงานย้อนหลังชีวิตของน้องออย ด.ญ.สุพัตรา ซอหริ่ง ชาวแม่อาย ที่ อ. แหวว เคยให้ชีวิตใหม่น้องออยไว้ โดย นายใสแดง แก้วธรรม วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2549
http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=318&d_id=317
[3] ชาวบ้านแม่อายซึ่งถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร ผันตัวเองมาเป็นกำลังหลักของชุมชนเพื่อการนำชื่อกลับเข้าสู่ทะเบียนราษฎร จนภายหลังสำเร็จก็ยังคงเดินหน้าเพื่อการให้ความช่วยเหลือกรณีปัญหาอื่นๆ ด้านสถานะบุคคลและผลกระทบทางสิทธิมนุษยชนให้กับชุมชน ในบทบาท “ทนายความตีนเปล่า” แห่งคลีนิกกฎหมายชาวบ้าน อำเภอแม่อาย โดยการสนับสนุนขององค์การยูนิเซฟ (ประจำประเทศไทย)
[4] ระหว่างวันที่ 15-17 มีนาคม 2549 รับผิดชอบหลักโดยอาจารย์วรรณทนี รุ่งเรืองสภากุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ โดยการสนับสนุนขององค์การยูนิเซฟ(ประจำประเทศไทย)
[5] ได้แก่ ส.ว.เตือนใจ ดีเทศน์ ,คุณสุดารัตน์ เสรีวัฒน์ แห่ง FACE ,รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนจิตรา สายสุนทร แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคุณชลฤทัย แก้วรุ่งเรือง แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
[6] ในแวดวงของคนทำงานเพื่อการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติ เราเคยเรียกเด็กในภาวะที่เกิดในเมืองไทยแต่กลับมีความผิดติดตัวทันทีที่ลืมตาในฐานเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง(ตามข้อสันนิษฐานทางกฎหมายของมาตรา 7ทวิ วรรคสาม แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.สัญชาติพ.ศ.2535 (ฉบับที่ 2))ว่า “บาปบริสุทธิ์” ตลอดจนเด็กและเยาวชนจำนวนมากที่ยังคงถูกปฏิเสธสิทธิต่างๆ โดยข้ออ้างที่ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชนรองรับอันเนื่องมาจากการกระทำของบุคคลอื่นๆ หรือโดยความไม่รู้ของสังคม ,น้องออยล์ : บาปบริสุทธิ์ตัวน้อยแห่งแม่อาย...เสียชีวิตแล้ว โดย นางสาวชลฤทัย แก้วรุ่งเรือง วันที่ 31กรกฎาคม พ.ศ. 2549 http://gotoknow.org/blog/chonruitai-legal-clinic/41813
สวัสดีครับ ผมก็สนใจเกี่ยวกับคนไร้สัญชาติ และคนชายขอบอยู่ครับ ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับ ผมทำงานช่วยเหลือเด็กยากจ อ.แม่สอด จ.ตาก มีเยอะมากครับ พูดไทย หน้าตาเหมือนคนไทย แต่ไม่ได้สัญชาติ ครับ จะเป็นพม่าก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง น่าสงสารมาก.....ครับ
คิดว่าจะเอาบทความที่ชลเคยเขียนไว้มาค่ะ แก้วเพิ่มเติมเล็กน้อย เหลือสอบถามข้อมูลอัพเดทอีกบางส่วนค่ะ
แก้วควรเอาข้อมูลจากบันทึกนี้มาเล่าในบันทึกของแก้วค่ะ แต่อ้างอิงชลค่ะ