จากดีทรอยท์สู่บ้านใหม่


สรุปแล้วออกเดินทางตั้งแต่วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ เวลา ๖ โมงเช้า (ถ้านับตั้งแต่ออกจากบ้านก็ตีสาม) มาถึงห้องพักตอนราวๆ ๓ ทุ่มวันที่ ๑๙ เหมือนเิดิม เพราะฉะนั้นใช้เวลาไปประมาณ ๒๗ ชั่วโมง door-to-door บ้านเก่า สู่บ้านใหม่ชั่วคราวหลังนี้ค่ะ

ในที่สุดก็ถึง leg สุดท้ายของการเดินทางจากกรุงเทพไปยังคอลเลจพาร์ค มลรัฐเมรี่แลนด์ ที่ตั้งของมหาิวิทยาลัยแมรีแลนด์ที่ คอลเลจ พาร์ค เสียที

คอลเลจ พาร์คนี้อยู่ในมลรัฐแมรี่แลนด์ ทางเหนือของเืมืองหลวงของสหรัฐหรือเมืองวอชิงตัน ดีซี (ดิสทริกออฟโคลัมเบีย) อย่าสับสน วอชิงตัน ดีซี กับมลรัฐวอชิงตันที่อยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศติดมหาสมุทรแปซิฟิคนะคะ เมืองนี้อยู่ตะวันออกเรียกได้ว่าเกือบติดมหาสมุทรแอตแลนติกทีเดียว ถ้าจะอ้างอิงกับเมืองใหญ่ที่ทุกคนรู้จักก็ต้องบอกว่า ดีซี นั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนิวยอร์คมานิดเดียว น่าจะห่างไปสัก ๒๐๐ กม.ได้ค่ะ

เครื่องที่นั่งจากดีทรอยท์ไปวอชิงตัน ดีซี ที่ดิฉันอาศัยมาด้วยนั้นเต็มมากๆ ค่ะ ดิฉันได้ที่นั่งเรียบร้อยติดหน้าต่าง ก่อนขึ้นเครื่องเขาประกาศเลยว่าเครื่องนี้เต็มมาก ถ้าใครถือกระเป๋าแครี่ออนมาเกิน เขาจะให้นำไปโหลดใต้เครื่องแทน เครื่องนี้เป็นเครื่องเล็กประมาณ ๑๐๐ ที่นั่งกว่าๆ แถวนึงมีประมาณ ๖ ที่นั่ง มีทางเดินตรงกลางแถวเดียว เหมือนรถบัสคันใหญ่ๆ คันหนึ่งแหละค่ะ

พอขึ้นเครื่องก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่(สจ๊วตชาย)ที่ท้ายเครื่องลอยตามลมมาไกลๆ ว่า Dear, there's no space here. I closed it (overhead bin) because there's no more room there.  คือเขากำลังพูดกับคนที่นั่งท้ายเครื่องและพยายามจะโหลดกระเป๋าขึ้นที่เก็บสัมภาระเหนือศรีษะน่ะค่ะ มันเต็มจริงๆ คุณป้าคนนั้นแกก็กระเป๋าใบใหญ่เสียด้วย ไม่สามารถเอากระเป๋ามาใส่ใต้ที่นั่งได้ เขาก็เถียงกันอยู่นาน แต่พูดไพเราะ เรียก "ที่รัก" ตลอด แต่เสียงเข้มแล้ว  คุณป้าเธอก็ยืนยันว่าถ้าใส่ไม่ได้เธอจะขออุ้มกระเป๋าไว้ที่ตัว ...  คุณสจ๊วตแกก็บอกว่า "ที่รัก ฉันไม่สามารถให้เธอทำอันตรายกับตัวเองแบบนี้ได้หรอก ยังไงๆ กระเป๋านี้ก็ต้องเอาไปโหลดใต้เครื่อง"  สุดท้าย ป้าแกก็ยอม.. 

หลังจากนั้นคุณสจ๊วตคนนี้ก็ต้องจัดการกับกระเป๋าใบเล็กใบน้อยกับเสื้อโคทอีกหลายตัว (เป็นงานสจ๊วตที่หนักมากจริงๆ)  เสร็จแล้วก็ต้องแบกกระเป๋าที่ไม่สามารถใส่บนเครื่องได้แล้ว เดินออกประตูหลังเครื่องไปโหลดใต้ท้องเครื่องอีก  (เหมือนขึ้นรถบัส ไม่ใช่เครื่องบินเลยเนี่ย ^ ^ )

บนเครื่องนี้ดิฉันถ่ายภาพน้อยมาก เพราะกำลังถ่ายรูปแรกอยู่ คุณแอร์คนนึงมาบอกว่าให้ดิฉันปิดกล้อง อ้าว..ขึ้นมาตั้งหลายเครื่องเพิ่งเจอเครื่องนี้แหละไม่ให้ถ่าย  ไม่อยากเถียงเขาว่ากล้องดิจิตอลน่ะมันไม่มีสัญญาณวิทยุออกจากเครื่องหรอก แต่ขี้เกียจก็เลยปิด แถมง่วงมากๆ แล้วค่ะตอนนั้น เพราะเครื่องออกประมาณบ่าย ๓ ซึ่งก็คือตีสามประเทศไทย ^ ^

สุดท้ายเครื่องก็ออกช้าไป ๑๐ นาที ถึงช้ากว่ากำหนดการประมาณ ๑๕ นาที ลืมบอกว่าดิฉันไปลงที่สนามบินในเมืองดีซีเลย (สนามบินเรแกน - ชื่อประธานาธิบดีเรแกนแหละค่ะ)   แถวๆ เมืองนี้มีสนามบินหลายอันค่ะ   บนเครื่องเขาแจกเพรทเซล (Pretzel) กับเครื่องดื่มทั่วๆ ไป น้ำส้ม น้ำอัดลมประมาณนั้น ก็ได้ทานน้ำอัดลมไปกระป๋องนึง อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัว อาจช่วยนักเดินทางท่านอื่นได้คือ ดิฉันชอบทานน้ำอัดลมเพราะมันจะทำให้เราเรอออกมาได้ ซึ่งจะทำให้หายอึดอัดได้หน่อยนึง อิอิ แต่ก็ร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ ^ ^ สมัยก่อนตอนอยากหลับบนเครื่องก็จะทานไวน์ด้วยค่ะ เป็นยานอนหลับอย่างดีค่ะ เคยไปประชุมครั้งนึงที่ออสเตรเลีย นั่งติดขี้เมา ชวนคุยชวนกินสก็อตช์วิสกี้ด้วย ดิฉันกินไปได้จึ๋งเดียวค่ะ ประมาณเป๊กเล็กๆ หลับสนิทเลย อิอิ 

พอลงจากเครื่องก็ออกไปเอากระเป๋า เดินตามทางไปเรื่อยๆ สภาพสนามบินก็เก่าประมาณดอนเมือง เห็นคนที่เกทมากมาย  ลักษณะของการขึ้นลงสายการบินในประเทศของที่อเมริกานั้นเหมือนท่ารถค่ะ คือคนขึ้นเครื่องกับคนออกเครื่องใช้ทางเข้าออกเดียวกันเลย เพราะฉะนั้นเวลาเราเดินออก ก็จะเจอคนที่กำลังจะรอเข้า นั่งรออยู่กันเป็นแถว  (ไม่เหมือนที่ดอนเมือง ที่คนออกจากเครื่อง (arrivals) จะมีทางเดินต่างหากไปที่สายพานรับกระเป๋า ไม่เจอกับคนที่กำลังจะขึ้นเครื่องที่เกท (departures)) สมัยก่อนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยา  คนมาส่งหรือมารับสามารถมารอบริเวณเกทได้เลย แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วค่ะ เฉพาะผู้เดินทางที่ผ่านการตรวจแล้วเท่านั้นถึงจะมาบริเวณเกทได้ 

พอไปถึงสายพาน ก็ประมาณ ๕ โมงเย็นแล้ว มองไปก็เป็นประตูทางออก เห็นรถแท็กซี่ กับรถส่วนตัวที่มารับส่งผู้โดยสารเลย (ช่วงนี้ลืมถ่ายรูป เพราะมัวแต่มองหาน้องที่จะมารับ)  ตอนไปถึงสายพาน ของยังไม่มา ก็เลยไปหารถเข็นก่อน ปรากฎว่าต้องเสียตังค์ คันละ ๓ เหรียญ แถมรับแต่แบงค์ย่อย ๑ เหรียญอีกต่างหาก แต่รับบัตรเครดิตด้วย ดิฉันลองใช้บัตรที่เป็นแบบ smart card ไปรูด มันไม่รับ เลยลองใช้แบบแถบแม่เหล็ก คราวนี้ใช้ได้ ก็รีบลากรถเข็นผ่านที่ล๊อกแม่เหล็กออกมา เดี๋ยวอดค่ะ  (จนปัจจุบันลองเช็คสเตทเมนท์ของบัตรเครดิตดูแล้ว ยังไม่คิดตังค์เลยค่ะ)

เสร็จแล้วก็ไปยืนรอต่อ..เอ..สงสัยจะมารับเราไหมหว่า เพราะยังไม่เจอน้อง ๒ คนที่จะมารับเลย ดิฉันไม่เคยเห็นเขา แต่เคยส่งรูปตัวเองไปให้ดู ^ ^ แต่ดูแล้วก็ไม่มีใครมากัน ๒ คนแล้วมาถามหาคนที่สายพานเลย  เริ่มคิดแผนสองในหัวแล้วว่าจะต้องไปหาโทรศัพท์โทรหาน้องเขา จริงๆ แล้วตัวเองเตรียมบัตรโทรศัพท์ (calling card) ไปจากเมืองไทย แต่ดันใช้ไม่ได้ (ลองโทรที่ดีทรอยท์) เพิ่งมาใช้ได้ตอนหลังตอนอีเมล์ไปแจ้งฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์เขาแล้ว

พอกระเป๋ามาหมดเรียบร้อย ก็เข็นรถไปถามประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสายพานแหละค่ะ ถามเขาว่า"ตรงนี้เป็นทางเข้า/ออกอันเดียวของนอร์ทเวสท์หรือเปล่า" เขาก็บอกว่า "ใช่ ถ้าเป็นที่นี่ ของนอร์ทเวสท์มีที่เดียว"  เอาล่ะซิ... ก็เลยถามต่อว่า"มีโทรศัพท์ที่รับบัตรเครดิตแถวนี้ไหม" เขาตอบว่า"ไม่มี" ก็เลยถามต่อว่า"แล้วมี Pay Phone หรือโทรศัพท์สาธารณะไหม"  เขาแทบไม่รู้เลย แสดงว่ามีการใช้หรือมีคนถามเรื่องนี้น้อยมาก สุดท้ายก็บอกว่า"มีเครื่องนึงแถวๆ ร้านกาแฟ ให้เดินไปตามทางตรงนั้นตรงนี้"  แต่ตอนนี้ปัญหาคือไม่มีเศษสตางค์หยอดเหรียญ ก็เลยเดินไปซื้อลูกอมเพื่อแตกเหรียญ  ตอนกำลังซื้ออยู่นี่เอง น้องที่มารับเขามาถึงพอดี ปรากฎว่าเขาไปจอดรถอีกที่นึง เพราะหาข้อมูลประตูทางออก กับสายพานที่ดิฉันต้องไปรับของไม่เจอ

สวัสดีทักทายกันเรียบร้อย ดิฉันก็ใจชื้น ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ไปเอง ซึ่งคงจะลำบากมาก เพราะต้องไปที่ๆ เราไม่เคยไป ทิศทางไม่ค่อยรู้ แต่พิมพ์แผนที่บ้านที่จะพักจากกูเกิลแมปเตรียมไว้แล้ว เผื่อยังไงๆ จะได้ไปเองได้

หลังจากนั้นน้องสองคน (เป็นนายทหารมาเรียนปริญญาเอกทั้งคู่) ก็พาไปที่รถ แล้วก็คุยกันไปเรื่อยๆ เพราะน้องเขาอยู่โยธาเหมือนกัน อัธยาศัยดีมาก แล้วเขาก็รู้จักบ้านที่ดิฉันจะไปพัก เพราะที่บ้านมีน้องคนไทยเช่าห้องอยู่หนึ่งคนแล้ว เขาเคยไปมาหาสู่กันมาก่อน

ก็เลยคุยกันว่าให้ไปส่งดิฉันเอากระเป๋าไปเก็บก่อน แล้วค่อยไปหาอาจารย์ (ที่เป็นโฮสตอบรับการไปทำวิจัยเที่ยวนี้) เพราะอาจารย์บอกว่าเย็นนี้มีสอนถึงทุ่มครึ่ง ตอนขึ้นรถออกจากสนามบินก็ประมาณเกือบ ๖ โมงเย็นแล้วล่ะค่ะ ขับรถออกจากเขต ดีซี ไปคอลเลจ พาร์คนั้นไม่ไกล แต่อาจเจอรถติดเพราะคนออกจากเมืองกลับบ้านที่อยู่นอกเมืองน่ะค่ะ  พอ ๖ โมงครึ่งก็ึถึงบ้านที่จะพักแล้ว ปรากฎว่าเจ้าของบ้านที่จะให้เช่าไม่อยู่ ทั้งๆ ที่ดิฉันแจ้งแล้วว่าจะมาประมาณกี่โมง คราวนี้เข้าบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีกุญแจ (ลืมบอกว่าห้องที่พักเป็น Half Basement คือใต้ถุนบ้านนั่นเอง แต่มีหน้าต่าง เ้จ้าของบ้านอยู่ชั้นบน เป็นบ้านชั้นเดียวมีใต้ถุน) น้องคนไทยที่อยู่บ้านหลังนี้ก็ยังไม่กลับจากที่ทำงาน (ที่มหาวิทยาลัย) 

น้องคนที่มารับก็เลยโทรหาน้องที่อยู่บ้านเดียวกัน นัดหมายกันว่าจะไปเจอที่โรงเรียน แล้วก็เลยจะไปหาอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยก่อน แล้วไปรับน้องมาด้วยกันจะได้เข้าบ้านได้  สุดท้ายก็เลยไปหาอาจารย์ที่ออฟฟิส น้องเขาเช็คผ่านเน็ตไร้สายที่โรงเรียน หาห้องเรียนที่อาจารย์สอนอยู่ให้ แล้วก็ไปรอที่หน้าห้อง ตอนเดินไปเดินมานี่แหละ หนาวชะมัด เกิดอาการ Thermo shock เล็กน้อย ฟันกระทบกันกึกๆๆๆ แบบควบคุมไม่ได้เลย ตลกดีค่ะ

รออาจารย์สักครึ่งชั่วโมง ทุ่มครึ่งแกสอนเสร็จ ก็ออกมาทักทาย แล้วก็นัดหมายกันว่าให้มาพบอีกทีวันศุกร์ ให้ไปพักก่อน แล้วก็ให้ไปติดต่อที่มหาวิทยาลัยเพื่อแจ้งการมาถึง ทำบัตรประจำตัวของมหาิวิทยาลัย เปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ ก่อน อาจารย์เขายุ่งๆ ด้วย บอกว่าวันศุกร์ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยและจะอยู่ในออฟฟิสทั้งวัน

 

Umcp1

ธงสีฟ้าคือตำแหน่งที่บ้าน ส่วนจุดสีแดงคือที่ทำงานเป็นตึกคณะวิศวฯ ตึกหนึ่งที่ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อมอยู่ ใช้เวลาเดินสัก ๑๐ นาทีได้ค่ะ ส่วนที่เห็นเป็นแก้วน้ำกับเบอร์เกอร์คือร้านเซเว่นค่ะ เป็นภาพจากกูเกิลแมป

จากนั้นน้องเขาก็พาดิฉันไปที่บ้านพัก ไปเอากระเป๋าเข้าบ้าน คราวนี้กลับไปก็เจอเจ้าของบ้าน (เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน) เขาก็เอากุญแจอะไรให้เรียบร้อย ดิฉันก็จ่ายตังค์ที่เตรียมมาเป็นค่าบ้าน แต่ปรากฎว่าเข้าใจผิด เตรียมมาไม่พอ เขาก็บอกว่าไว้วันหลังค่อยให้  ก็เลยบอกเขาว่าเดี๋ยวขอเปิดบัญชีเพื่อเอาเงินสดออกมาจากเช็คที่ได้รับก่อนแล้วจะเอาที่ยังขาดอยู่มาให้ เขาก็บอกได้ 

หลังจากนั้นน้องก็พาไปทานอาหารเกาหลี (ตอนแรกก็ไม่อยากไป เกรงใจ แต่คิดดูแล้วก็ต้องกิน ไม่งั้นคงแย่อยู่)  ร้านนี้อร่อยดีค่ะ เสียดายที่เหนื่อยจากการเดินทางเลยกินได้น้อยไปนิด อิอิ  กิมจิกับเครื่องเคียงเยอะดี ผักสดก็อร่อยค่ะ พูดแล้วหิวเลยนะเนี่ย ^ ^ 

กว่าจะมาเข้าที่พักอีกทีก็ ๓ ทุ่มกว่าแล้ว มาถึงก็พยายามจัดกระเป๋า จัดไม่สำเร็จเพราะง่วง ก็เลยไปอาบน้ำก่อน แล้วก็รีบมาเปิดเครื่องคอมพ์หาสัญญาณ เผื่อมี ปรากฎว่ามีสัญญาณอ่อนๆ มาจากไหนไม่รู้ เลยได้อานิสงส์ใช้ที่บ้านได้มาจนทุกวันนี้แหละค่ะ ได้สัญญาณก็รีบเขียนอีเมล์ไปบอกน้องสาวแล้วก็เขียนหาน้องสาวผ่านกูเกิลคาเลนดาร์ (มันจะไปเตือนที่มือถือน้องสาว) จะได้บอกพ่อแม่ได้ว่าถึงเรียบร้อยดีแล้ว

เป็นอันถึงบ้านใหม่เสียที...แล้วจะมาเล่าต่อเรื่องที่มหาวิทยาลัย การตั้งต้นใช้ชีวิตที่อเมริการอบนี้ค่ะ  สรุปแล้วออกเดินทางตั้งแต่วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ เวลา ๖ โมงเช้า (ถ้านับตั้งแต่ออกจากบ้านก็ตีสาม) มาถึงห้องพักตอนราวๆ ๓ ทุ่มวันที่ ๑๙ เหมือนเิดิม เพราะฉะนั้นใช้เวลาไปประมาณ ๒๗ ชั่วโมง door-to-door บ้านเก่า สู่บ้านใหม่ชั่วคราวหลังนี้ค่ะ

หมายเลขบันทึก: 167380เขียนเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2008 17:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)
นั่งอ่านกินขนมหมดไป 1 ถุงแล้ว อิอิ งานนี้เรื่องมันยาว คงต้องหอบผ้าห่มมานั่ง มานอนอ่านด้วยแน่ แน่ อิอิอิ คิดถึงนะจ๊ะ

พี่อึ่งอ๊อบ

กินหนมด้วยดิ เริ่มหิวข้าวเช้าแล้วเนี่ย ^ ^

เรื่องมันยาวจริงๆ ขนาดพยายามเขียนแบบสั้นๆ แล้วนะเนี่ย

คิดถึงเหมือนกันจ้า กอดทีนึง ^ ^

ดีใจที่การเดินทางอันยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว เฮ้อ...

เดี๋ยวก็หายเหนื่อยค่ะ แต่ก่อน พี่เคยขับรถจากเวอร์จิเนีย ไปทานอะไรที่แมรี่แลนด์  ยังมีรูปอยู่เลย

พักผ่อนก่อนนะคะ สบายๆค่ะ

เกาะติดสถานการณ์ค่ะ  ขอติดตามอาจารย์ไปก่อน  อิอิ

ส่วนของหนิง  ตารางมาแล้วค่ะ  กลายเป็นว่าให้เดินทางเดือนกันยายน  แต่ช่วงเมษายน-พฤษภาคมนี้ให้ไปเรียนที่มหิดลก่อนค่ะ  โดยเชิญอาจารย์จาก UNC มาสอนให้  เป็นหลักสูตร inter เหมือนกันค่ะ

ว่าไงก็ว่าตามเค้าเนอะ...เราไปทุนเขานิ

สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์

ตอนมาเรียนป.เอก เคยมาพักอยู่ที่ Fairfax VA อยู่สัปดาห์หนึ่งค่ะ มาพักบ้านอาจารย์ที่เป็น external committee เป็นอาจารย์อยู่ที่ george mason ตอนนั้นมาช่วงคริสต์มาส เลยได้บรรยากาศหนาวเย็นและ home stay อีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้จำสถานที่ ถนนหนทางไม่ค่อยได้แล้วค่ะ ^ ^

ท่าทางคุณพี่จะมาที่อเมริกาบ่อยเหมือนกันนะคะ

เมื่อเช้านั่งเขียนบันทึกอยู่บ้าน ตอนนี้อยู่ที่ office แล้ว เดี๋ยวจะไปห้องสมุดยึมหนังสือต่อค่ะ

 

สวัสดีค่ะคุณหนิง

ถ้ามากันยาก็เริ่มหนาวแล้วค่ะ แต่ยังไม่สุดๆ แต่จะสวยเพราะว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่ถ้าอยู่แถวโคโรราโดแล้วมีแต่ต้นสนก็จะออกเขียวๆ ทั้งปี ไม่ค่อยมีใบไม้ร่วงให้เห็น แล้วแต่ว่าอยู่ที่ที่สูงขนาดไหนน่ะค่ะ  ยังไง ก็เตรียมเรื่องเสื้อผ้ามาบ้าง แล้วมาซื้อเอาที่นี่(เสื้อหนาว) แพงนิด แต่เบาคุณภาพดี ที่สำคัญคืออุ่นกว่าที่ซื้อจากเมืองไทยค่ะ ^ ^

สวัสดีครับ แวะมาอ่านครับ เห้อๆขอถอนหายใจยาวๆ สองที มีเพื่อนคนหนึ่งเธอมีโครงการจะไปศึกษาต่อที่สหรัฐ รัฐแอตแลนตา ...คงต้องคิดถึงเธอมากๆ แต่ก็รู้สึกยินดีที่เธอคิดไปเรียนต่อ ครับ วแมอ่านครับ แวะมาอ่าน..เห้อ........

ที่โน่นห้องสมุดแยะค่ะ พี่เคยไปอยู่ค่ะ พาลูกไปเรียนด้วย

ตอนหลังไปขายของ และไปเยี่ยมลูกค่ะ ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตค่ะ ที่ไหนๆก็สู้เมืองไทยไม่ได้ค่ะ ที่นั่น ไม่ใช่บ้านของเรา แต่ถ้าไปเรียน ดีค่ะ เพราะเป็นแหล่งวิชา สะดวก แต่ไม่อบอุ่นใจค่ะ

อาจารย์ครับ ห้องแบบ Half Basement ที่นี่ราคาเท่าไหร่ครับ

สวัสดีค่ะคุณกวินทรากร

ถอนหายใจเสียหลายเที่ยวเลยนะคะ ที่อเมริกานี้เหมาะกับมาเรียนค่ะ แต่ไม่เหมาะกับมาอยู่ตลอด ยังไงบ้านเราก็ดีกว่าค่ะ

 

สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์

ห้องสมุดที่นี่เยอะจริงๆ ค่ะ ใน campus นี้อันเดียวก็มีหลายห้องในหลายตึกแล้วค่ะ แถมยังมีเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในแถบเดียวกันอีก  เมื่อกี้เพิ่งไปห้องสมุดใหญ่มา หนังสือก็เยอะดี แต่แน่นไปด้วยนักศึกษาไปหน่อย ไม่เหมือนที่เพอร์ดู พื้นที่กว้างขวางกว่าค่ะ แต่เพิ่งไปดูได้แป็บเดียว ยังไม่เข้าที่เข้าทาง อีกหน่อยคงหามุมสงบได้ค่ะ

เห็นด้วยกับคุณพี่เลยนะคะว่า อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเหมือนบ้านเราค่ะ ^ ^

 

สวัสดีค่ะพี่บางทราย

จริงๆ แล้วราคา Half basement ก็ไม่ต่างจากแบบชั้น ๑ หรือ ชั้น ๒ เท่าไหร่หรอกค่ะ อาจจะถูกกว่าไม่เกิน ๒๕ เหรียญ ตอนนี้จ่ายเดือนละ ๕๕๐ ค่ะ มัดจำล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่ที่นี่ดีตรงที่เขาให้เช่าเป็นรายเดือนได้ แต่ตอนมาถึงก็เซ็นสัญญาไปว่าจะอยู่ถึงเดือนมิถุนายน ส่วนใหญ่แล้วเขาจะให้เซ็นสัญญา ๑ ปีค่ะ ตัวเองค่อนข้างโชคดี ได้ที่อยู่ที่ใกล้ที่ทำงาน เดินไปถึง วันๆ นึงเดินเยอะหน่อยเท่านั้นค่ะ ^ ^ พอดีบ้านที่อยู่นี้อยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆ เวลาเิดินกลับบ้านก็จะเหนื่อยหน่อยค่ะ

 

พี่ตุ๋ยเปลี่ยนรูปใหม่แล้วเหมือนเด็กเลยนะ ฟังเรื่องการเดินทางแล้วเหนื่อยแทน นึกออกแบบอาการไปถึงแล้วไม่มีคนมารับมันเคว้งๆ แถมเข้าบ้านไม่ได้อีก บวกกับเหนื่อยจากการเดินทางคงสาหัสพอตัว นี่อึดมากแล้วพี่ ถ้าเป็นหนูคงนั่งกอดกระเป๋าหลับป่อกอยู่แถวหน้าบ้าน ได้ฟิลด์แบบพวก homeless อะไรประมาณนั้น ^ ^ พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกซิวไปโรงพักแล้ว : )

วันนี้อ่านข่าวเจอข่าวผู้โดยสารเสียชีวิตบนเครื่องอเมริกันแอร์ไลน์ เพราะถูกปฎิเสธการร้องขอถังอ๊อกซิเจน พอได้มาก็ใช้ไม่ได้ เป็นถังเปล่า จนในที่สุดหายใจไม่ออกตาย ไม่รู้ว่าพี่ได้ยินข่าวนี้หรือเปล่า อ่านแล้วสลดเลยนะ น้องว่างานนี้โดน sue แหลกแน่นอน สงสารผู้โดยสารคนนั้นมาก เขาบอกว่า "Don't let me die" แต่ยังไม่รู้ว่ารายละเอียดที่แท้จริงเป็นยังไง คงต้องฟังผลสรุปจากแพทย์และผู้ตรวจสอบอุปกรณ์จะออกมาเป็นยังไง สายการบินก็ต้องปฎิเสธไว้ก่อนแหล่ะว่าทุกอย่างใช้ได้ปกติ ของแบบนี้มันมีพยานรู้เห็นเยอะแยะ โกหกไม่ได้หรอก

สวัสดีจ้า้น้องซูซาน

เปลี่ยนรูปใหม่เป็นรูปที่เพิ่งไปสมิธโซเนี่ยนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ถ่ายอยู่ตรง mall ด้านนอกอาคาร พี่ว่าพี่ค่อนข้างโทรมนะ หนาวด้วย อิอิ

วันนั้นก็เหนื่อยจริงๆ เพราะปรับเวลาด้วยแหละ กลางวันกลางคืนสลับกันมั่วไปหมด โชคดีที่น้องเขามารับ เพียงแต่สนามบินมันมีประตูทางออกหลายทางมากน่ะ ก็เลยคลาดกันนิดเดียว  พูดถึงว่านั่งกอดกระเป๋ารอหน้าบ้านวันนั้นน่ะคงเป็นไปบ่ได้เลย เพราะคงแข็งไปทั้งตัวแน่ ไปไม่ถึงโรงพักหรอก โรงพยาบาลมากกว่า อิอิ  พี่ว่าคืนนั้นคงประมาณ 0 c แต่ลมแรงมากรู้สึกเหมือนติดลบ หุหุ

ข่าวที่ว่าพี่ก็เห็น headline เมื่อวานหรือไงเนี่ยแหละ เมื่อกี้ไปดู cnn มาแล้ว (คือว่าไม่มีทีวีอ่ะ ดูวีดีโอผ่านเนทเอา) ครอบครัวก็ยืนยันอย่างหนึ่ง ส่วนทางสายการบินก็ยืนยันอีกอย่างหนึ่ง สรุปแล้วเขาว่าฟ้องแน่ แต่คนเห็นเหตุการณ์มีเยอะ มีหมอกับพยาบาลตั้งหลายคนที่ไปช่วยปัมพ์หัวใจบนเครื่องน่ะ สรุปแล้วน่าสงสาร เพราะเหมือนเขารู้ตัวว่าแย่แน่ แล้วก็แย่จริงๆ

สวัสดีค่ะ อ.ตุ๋ย

คิดเหมือนซูซานเลยค่ะว่า เด็กและดูเท่ดีค่ะ เดินทางไม่หยุด 27 ชั่วโมง เข้าใจถึงความเหนื่อยเลยค่ะ   ป่านนี้คงหายเหนื่อยแล้ว แต่หนาวแทน นี่ขนาดยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ไปลุยสมิธโซเนี่ยนมาแล้ว  ยอดจริงๆค่ะ แล้วเล่าให้ฟังด้วยนคะ จะรอค่ะ  ดูแลรักษาสุขภาพนะคะ

สวัสดีค่ะพี่อุ๊

ท่าถ่ายภาพมาตรฐานในที่หนาวคือท่านี้แหละค่ะ สองมือล้วงกระเป๋า 5555

ภาพออกมาเลยดูเก๊กๆ อิอิ

ตอนนี้หายเหนื่อยจากการเดินทางแล้วค่ะ แต่ขาแข้งยังเมื่อยทุกวันเพราะเดินเยอะค่ะ บ้านที่อยู่นั้นอยู่บนเขา พื้นที่ในมหาวิทยาลัยก็ค่อนข้าง Hilly ค่ะ เดินไปทานข้าวกลางวันก็ขึ้นเขาค่ะ ^ ^ เหมือนได้ออกกำลังทุกวัน บางวันแบกคอมพ์ไปๆ มาๆ ก็ปวดไหล่เล็กน้อยตอนแบก พอเอาของออกก็หายค่ะ

ตอนไปสมิธโซเนี่ยนเที่ยวนี้เป็นแค่การชิมลางค่ะ ยังไม่ได้ดูอะไรจริงๆ จังๆ เหมือนไปดูพื้นที่ รู้จักที่ทางกับเส้นทางการเดินทางไว้ก่อน คงจะไปอีก(หลายๆ ครั้ง)เพื่อดูให้ทั่ว หลายๆ museum เพราะรู้สึกว่าจะมี 17 หรือ 19 อันเนี่ยแหละค่ะ ^ ^  ไว้จะมาเล่าให้ฟังนะคะ

สวัสดีข้ามโลกครับ .. อาจารย์กมลวัลย์ :)

  • ตกลงอาจารย์เอารูปตัวเองมาขึ้นใหม่หรือเปล่าครับ ผมยังนึกว่า เด็กที่ไหนอยู่ดีครับ อิ อิ :)
  • อาจารย์ขาลุยจังครับ ... นี่ถ้าเป็นผมถ้าจะไม่ได้ไปไหนแล้วล่ะ ไม่เคยไปต่างประเทศไกล ๆ ไปแค่ "ลาว" เอง :)
  • บันทึกอาจารย์น่ารัก น่าลุ้น เจง ๆ ครับ

บุญรักษาข้ามโลก ครับ :)

  • จำภาพใหม่ไม่ได้
  • ฮ่าๆๆๆ
  • นึกว่าสาวๆๆที่ไหน
  • ที่แท้พี่เราเอง
  • ชอบตรงนี้จัง Dear, there's no space here
  • ชอบคำว่า Dear
  • ผมเคยนั่งเครื่องไปสงขลา
  • อยากถ่ายรูปมากๆๆเพราะไม่ได้ไปนานแล้ว
  • น้องแอร์ไม่ให้ถ่ายเหมือนกัน
  • เซ็งเลย
  • ยัง งง ว่าตอนไปต่างประเทสทำไมไม่เห็นมีใครห้ามเลย

สวัสดีค่ะ อ.วสวัตดีมาร

รูปตัวเองแน่นอนค่ะ เหมือนปัจจุบันที่สุดแล้ว เพิ่งถ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเอง

ถ้าเป็นอาจารย์มา รับรองได้อาจารย์ก็ต้องลุยค่ะ มาทั้งที มีของดี ต้องรีบมาชมค่ะ วันนี้แค่ลองเส้นทาง กับไปเิดินเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ได้เดินดูแบบมีสาระสักเท่าไหร่ค่ะ ^ ^

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^ ^

 

สวัสดีค่ะ อ.ขจิต

รูปพี่เองแหละค่ะ ตัดผมสั้น ถ่ายรูปให้เห็นไกลๆ ก็จะดูเด็กๆ หน่อย (ก็พยายามแล้วนะ อิอิ) ยิ่งถ้าดูด้านหลัง (ด้านหลังนะ เน้น..) ก็ยิ่งเหมือนเด็ก เพราะเตี้ยกว่าเขาด้วยไง ิ  แต่ถ้าดูใกล้ๆ ก็คงไม่ต้องบอกนะ อิอิ

พูดถึงสจ๊วตคนนั้น เขาตลกดีนะ จริงๆ เขาก็เซ็งแล้วแหละ เจอแต่กระเป๋าของผู้โดยสาร แ่ต่เขาก็พยายามพูดเพราะ ไม่งั้นอาจโดนร้องเรียนได้ เพราะผู้โดยสารบางคนก็ใช่ย่อย  เห็นได้ชัดเลยว่าถ้าทุกคนเอาแต่ได้ จะเอาตัวเองสบายคนเดียว โลกนี้คงไม่โสภาสักเท่าไหร่นะคะ ^ ^

เรื่องถ่ายรูปบนเครื่อง พี่ไม่เคยโดนห้ามเลยนะ เพิ่งเจอครั้งแรกที่เครื่องนี้นี่แหละ

ขอบคุณที่ติดตามเช่นกันนะคะ ^ ^

  • ตามมาด้วยค่ะแต่หนาวจังเลย
  • อิอิขออยู่ในที่อุ่นๆดีกว่า
  • ค่อยยังชั่วแล้วค่ะขอบคุรที่ส่งกำลังใจไปให้นะคะ
  • แล้วจะมาอ่านตอนต่อไปนะคะ

สวัสดีค่ะอ.นารี

ขออภัยที่ส่งความหนาวผ่าน blog อิอิ  ที่นี่หนาวจริงๆ ค่ะ ตอนนี้ติดลบแต่แดดเปรี้ยงเลยนะคะ 5555

อากาศที่นี่เพี้ยนๆ ขึ้นๆ ลงๆ ค่ะ วันก่อนฝนตก แต่พรุ่งนี้อาจจะ snow ตก แต่ยังไงๆ ก็โพกตัวเองให้รอบไว้ก่อนค่ะ 555 หนาวทะลุ แทงถึงกระดูกจริงๆ ได้โอกาสเจริญสติกายานุปัสนาอย่างเต็มที่เลยค่ะ ^ ^

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ

  • สวัสดีครับคุณ กมลวัลย์
  • เก่งจังครับ..ขาลุยจริงๆ อ่านการเดินทางแล้วเหนื่อยแทนเลยครับ..สู้..ๆ..ครับเอาใจช่วยนะครับ
  • ผมเห็นด้วยนะที่หลายๆท่านทักว่าดูเด็กลง..ผมว่าดูวัยรุ่นดีด้วยครับ
  • ขอให้ภารกิจราบรื่นและลุล่วงด้วยดีนะครับ 

สวัสดีค่ะอ.พนม

อาจารย์นอนดึกจังนะคะ หลายวันนี้ไม่ได้ไปผะหมีเลยค่ะ ^ ^

ขอบคุณอาจารย์ที่แวะมาเยี่ยม และแถมชมว่าเด็กลงอีกต่างหาก.. ^ ^  ตัดผมสั้นๆ ช่วยให้ดูเด็กลงได้จริงๆ ค่ะ 555

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ แล้วจะเล่ากิจกรรมให้ฟังกันต่อค่ะ

อากาศหนาวอาจรู้สึกเหนื่อยน้อยกว่าอากาศร้อนมั้ยคะ เดินทางกว่าหนึ่งวัน คงต้องพักเอาแรงบ้างก่อนลุยงานต่อ

รักษาสุขภาพนะคะ

ใช่ค่ะพี่นุช มันดีอย่างตรงที่ความชื้นต่ำ เลยไม่ค่อยเหนอะหนะเท่าบ้านเราด้วย แต่เวลาเย็นจัดๆ เนี่ย แย่กว่าร้อนจัดค่ะ เพราะหนาวถึงกระดูก ลมพัดแรงๆ อุณหภูมิประมาณ -1 หรือ 0 แต่รู้สึกเหมือน -5 -6 ต้องสวมฮูทหรือหมวกกันหู กันความร้อนออกจากหัวด้วย วันนั้นกลางคืนเดินกลับบ้าน ลมแรงมากๆ ขาแข็ง... แข็งแบบก้าวไม่ออก เดินไปหุ่นเลยค่ะ พอดีออกจากที่อุ่นในอาคารมาเจออากาศต่างกันประมาณ ๒๐ องศาได้ เลยเกิดอาการ พอเดินสักพักก็ดีขึ้น ตอนหลังๆ ชาๆ ไปหมดก็ดีขึ้นเหมือนกัน 5555

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท