สวัสดีคะ....วันนี้มาว่ากันด้วยเรื่องมลภาวะประเภทหนึ่ง ในยุคดิจิตอล...ที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสาร
....อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น...ยุคนี้ใครๆก็บอกว่าเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร...ใครมีข้อมูลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง...แล้วข้อมูลนั้นมาจากไหน เราประชาชนคนธรรมดา ... เช้าตื่นมาก็นั่งฟังข่าว ... เย็นกลับจากทำงานก็ฟังข่าว ข่าวจากหนังสือพิมพ์โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ร้านกาแฟปากซอย ร้านเสริมสวยหน้าบ้าน หรือแม้แต่จากเพื่อนข้างบ้านนำข่าวสารมาแลกเปลี่ยนเราๆท่านๆได้ทราบกัน...นับเป็นหลากหลายช่องทางที่เราได้รับข่าวสารแตกต่างไปตามสื่อที่นำมาและผู้นำสาร ....
....อาชีพนักข่าว หรือผู้สื่อข่าว.. เป็นผู้นำเสนอข่าวสารต่างๆ ... นักข่าวที่สมัยหนึ่งเมื่อนานมาแล้วได้รับการยกย่องว่าเป็นฐานันดรที่ 4 หรือ 5 อะไรทำนองนี้ ได้รับการยอมรับนับถือว่ากระบอกเสียงให้กับประชาชนทั่วไป ..เป็นผู้ที่นำข่าวสารมากระจายขยายความให้เราๆท่านๆได้รับรู้ความเป็นไปในประเทศเราและทั่วโลก...
....แต่ มาปัจจุบันไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของผู้คนจะยังเหมือนเดิมไหม...ผู้เขียนก็คนหนึ่งล่ะที่เคยฝันอยากจะเป็นนักข่าว..รู้สึกว่ามันลุยๆๆดีเป็นงานที่ท้าทายและน่าจะสนุก .. รู้เรื่องราวก่อนคนอื่น...แต่ตอนนี้รู้สึกกับนักข่าวเปลี่ยนไป เวลาอ่านข่าวบางข่าวแล้วแปลกใจที่รู้สึกเองว่าเชื่อได้ไหมเนี่ย หรือบางข่าวที่เขียนกันไป พาดหัวตัวไม้ไว้ก่อนให้ตกใจจนต้องหยิบมาเปิดอ่าน จนต้องซื้อหา แต่อะไรกันนี่ เนื้อข่าวข้างในกลับไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่พาดหัวไว้เลย...บางครั้งหัวข้อข่าวกับเนื้อหาไม่เกี่ยวกันเลย..หลงเชื่อจนได้เรา...
....หรือข่าวสารในอินเตอร์เน็ต ก็แหม..ยุคนี้ยุคไอที...ใครเปิดอินเตอร์เน็ตอ่านข่าวสารดูดีมีสไตน์ขึ้นมาเชียว ข้อความที่ส่งต่อๆ กัน (จะเรียกว่าข่าวได้ไหม..แต่ก็เป็นการสื่อสารกันอย่างหนึ่งอ่ะนะ) เท็จจริงแค่ไหน เชื่อถือได้เท่าไหร่ โดนหลอกกันมาก็มาก แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไป มีจดหมายฟอร์เวิร์ดกันต่อไป ....
....การอภิปรายในสภาของนักการเมือง ในสภามีกฏหมายคุ้มครอง..ทำให้พูดอะไรก็ได้ ให้ร้ายใครก็ได้ สร้างหลักฐานอย่างไรก็ได้ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างไรก็ได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่สามารถหาข้อมาหักล้างได้ คนฟังก็ให้เครดิตผู้อภิปรายแล้วว่าน่าจะจริงตามที่พูด ซึ่งในภายหลังอาจปรากฏว่าไม่จริงตามนั้น แต่คนเราเลือกที่จะเชื่อข้อมูลแรกที่ได้รับไปแล้ว...
....การเลือกรับรู้ รับฟังและเลือกที่จะเชื่อของคนเรามันน่ากลัวนะที่จริง....การเลือกฝ่ายและเลือกข้าง...ถ้ารู้ว่าเลือกผิดแต่...ไม่ถอย...หรือการไม่ยอมรับว่าเข้าใจผิด รับรู้ รับฟังข่าวสารที่บิดเบือนไป....หรือเพราะมีอีโก้หรืออคติว่าเมื่อเลือกไปแล้วถ้าถอยกลับออกมาดูน่าอาย ไม่สมาร์ท...อืมม์...นี่ไม่นับถึงคนที่เชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่า ..ฉันถูกนะ ฉันคิดถูก ข่าวที่ฉันรู้มานะจริง1000%....นะ
...เพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งคิดแปลกๆ คือแกสงสัยว่าทำไม ยุคสมัยนี้ไม่มีนักปราชญ์มาเกิดอีก ทำไมไม่มีเพลโต โสคราติส พระพุทธเจ้า ขงจื๋อ เล่าจื๋อ หรือกระทั่งสุนทรภู่มาเกิดใหม่ เจอเพื่อคนนั้นอีกจะบอกเขาว่าเป็นเพราะยุคสมัยนี้เราอยู่ในยุคที่เต็มไปมลพิษที่มองไม่เห็น ที่ล่องลอยอบอวลอยู่ในอากาศ เราอยู่ในสังคม หรือในยุคสมัยที่บทบาทของข้อมูลข่าวสารไม่ส่งเสริมสติปัญญา พุทธิปัญญาคนไทย จึง "ไม่พวยพุ่ง"
สวัสดีครับ
ขออนุญาตนำบันทึกไปรวมใน รวมตะกอน ขอบคุณมากครับ
สวัสดีคะ คุณสิทธิรักษ์
สวัสดีค่ะ เข้ามาแวะชมค่ะ
สวัสดีครับ