ใช่เลย.....นี่แหละตัวตนของฉัน
ตอนที่ 2 โลกใบใหม่....กับหัวใจที่เข้มแข็ง
ชีวิตดิฉันเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อดิฉันต้องเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ครอบครัวในชนบทไม่นิยมส่งลูกเข้าเรียนต่อ เพราะขาดปัจจัยหลายอย่าง อีกทั้งการศึกษายังเป็นสิ่งที่ล้าหลังกับการดำเนินชีวิตในสังคมของคนชนบท หมู่บ้านของดิฉันส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร รายได้หลักของครอบครัวมาจากการทำไร่ ทำนา แต่ดิฉันโชคดีมากที่คุณพ่อคุณแม่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา คุณแม่เคยบอกว่าตอนเด็กๆ คุณแม่อยากเรียนหนังสือมาก แต่ฐานะยากจนและคุณตาคุณยายก็มีลูกสาวเพียงคนเดียวคือคุณแม่ของดิฉันนอกนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมด (คุณตาคุณยายมีลูก 9 คนค่ะ) ดังนั้นคุณแม่จึงมีหน้าที่ดูแลบ้านและน้อง ๆ อีกหลายคน คุณแม่ของดิฉันเรียนจบแค่ชั้น ป.4 แต่อ่านหนังสือและเขียนหนังสือได้คล่องมากเลยทีเดียว
เวลาผ่านไปจนกระทั่งดิฉันเรียนจบชั้นประถมศึกษา มีโรงเรียนต่าง ๆ มาแนะแนวการศึกษาต่อ แต่ดิฉันก็เลือกที่จะเรียนใกล้บ้าน เพราะจะได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โรงเรียนกับบ้านอยู่ห่างกันประมาณ 4 กิโลเมตร พาหนะที่ใช้ในการเดินทางคือรถจักรยาน คุณพ่อเก็บหอมรอมริบมาซื้อให้ ยี่ห้อตราจระเข้ด้วยนะขอบอก (ภูมิใจมากๆเลย) เพื่อน ๆ ต่างพากันปั่นจักรยานไปโรงเรียน เมื่อถึงโรงเรียนดิฉันมองหาอาคารเรียนแต่มองยังไงก็หาไม่เจอ “เอ๊ะ! นี่เรามาผิดทางหรือเปล่า” ดิฉันคิดในใจ จนกระทั่งคุณครูที่มาแนะแนวได้พาพวกเราเข้าไปในวัดของหมู่บ้าน รอจนกระทั่งเพื่อน ๆ อีกหลายคนมาครบประมาณ 80 คนเห็นจะได้ พวกเราวิ่งเล่นตามประสาเด็ก ๆ แต่ดิฉันก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าพวกเรารออะไรอยู่ ทำไมคุณครูไม่พาพวกเราเข้าห้องเรียนเสียที ดิฉันหันไปมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ก่อนที่ดิฉันจะพูดอะไรออกมาคุณครูแนะแนวคนนั้นก็เดินมาบอกให้พวกเราขึ้นไปบนศาลาวัด ดิฉันคิดว่าพระท่านคงทำพิธีทางศาสนาเสร็จแล้ว บริเวณศาลาเลยว่างพอที่จะให้พวกเราเรียนกัน จริงอย่างที่คิดคุณครูให้พวกเรานั่งกับพื้นก่อน จากนั้นคุณครูก็อบรมและแนะแนวทางการเรียน โดยแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ บางคนไปขนโต๊ะ-เก้าอี้แล้วนำมาเรียงไว้สำหรับการเรียนการสอนที่จะเกิดขึ้น บางคนก็กวาดห้องและทำความสะอาดอาคารเรียน แต่ตัวดิฉันซินึกไม่ออกว่าตัวเองต้องทำอะไรกันแน่ จนเพื่อนของดิฉันเดินมาสะกิดจึงได้ไปช่วยกันทำความสะอาด งงเหมือนกันปรับตัวไม่ทันด้วยแต่ก็ทำตามเพื่อน
การดำเนินชีวิตเป็นไปเรื่อย ๆ จะว่าชินก็คงจะใช่ โรงเรียนแห่งนี้ให้อะไรกับดิฉันมากมาย รอยยิ้ม ความสุข ความทุกข์ ความประทับใจ (รักครั้งแรกด้วยมั้ง) ทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่นี่ที่วัดแห่งนี้ซึ่งเป็นโรงเรียนของเรา ถึงตอนนี้ทุกคนคงอยากจะรู้แล้วซินะว่าโรงเรียนของดิฉันชื่ออะไร บอกให้ก็ได้ “โรงเรียนลำปาววิทยาคม สาขานาเชือก” การเรียนการสอนเป็นไปตามปกติมีคุณครูสอนประมาณ 2 คน บางวันมีครูมาจากโรงเรียนแม่เพื่อมาช่วยทำการสอน วันนั้นจึงเป็นวันที่ดิฉันมีความสุขมากๆ ที่มีคุณครูคนใหม่มาสอนไม่ซ้ำหน้าเสมอ หลายต่อหลายครั้งที่คำถามนี้ค้างคาอยู่ในใจตลอด “นี่ดิฉันคิดผิดหรือถูกกันแน่” ดิฉันจะเรียนจบ ม.3 หรือไม่ หรือโรงเรียนจะถูกยุบก่อน เป็นเวลาเกือบปีที่ดิฉันต้องเรียนบนศาลาวัด แต่นั่นแหละมันคือการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่คนอื่นไม่เคยได้สัมผัส พระพุทธศาสนากล่อมเกลาจิตใจของคนได้จริงหรือ ดิฉันเริ่มเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวแต่มันก็เป็นการเรียนรู้ที่คุ้มค่ามากทีเดียว
หลายเดือนต่อมาชาวบ้านต่างพากันร่วมไม้ร่วมมือกันสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้พวกเรา มันเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว ดิฉันว่ามันเหมือนกระท่อมเล็กๆ มากกว่า ต่างกันหน่อยตรงที่หลังใหญ่กว่าเท่านั้นเอง ดิฉันดีใจลึกๆและบอกกับตัวเองว่า “นี่เราจะมีอาคารเรียนจริงๆ แล้วเหรอ แล้วศาลาวัดที่เราเรียนล่ะ” อาคารนี้แบ่งออกเป็น 3 ห้องด้วยกัน คือห้องเรียน 2 ห้องและห้องพักครูอีก 1 ห้อง หลายต่อหลายครั้งที่ดิฉันรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ แต่ด้วยความมุ่งมั่นมันทำให้ดิฉันฮึดสู้และพยายามที่จะสร้างโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาด้วยสองมือเล็ก ๆ ของพวกเราทุกคน อีกอย่างหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ศิษย์และครูต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จก็คือ คำพูดของคนที่ไม่หวังดีและคอยบั่นทอนกำลังใจอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความมุ่งมั่นของคุณครูแนะแนวท่านนี้ ถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านจังเลย ขออนุญาตนะค่ะ คุณครูแนะแนวท่านนี้ชื่อ คุณครูสุรพงษ์ ภูแสงศรี (ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแล้วค่ะ) ท่านเป็นคุณครูที่บุกเบิกโรงเรียนแห่งนี้ หลายต่อหลายครั้งที่พวกเราเห็นน้ำตาของท่านไหลออกมา แต่ท่านก็คอยให้กำลังใจพวกเราด้วยแววตาและคำพูดที่ติดปากเสมอว่า “พวกเธอคือลูกศิษย์รุ่นแรกและเป็นรุ่นบุกเบิกในการสร้างโรงเรียนขึ้นมา” ถึงตรงนี้มันทำให้ดิฉันนึกถึงวันเวลาเก่าๆ แต่ก็นั่นแหละวันเวลาที่ดีมันช่างน่าจดจำจริงๆ มองดูเวลาอีกที 21.59 น. แล้วเหรอถึงตรงนี้คงได้เวลาแล้วที่ดิฉันต้องไปอ่านหนังสือเตรียมสอบครู กทม. พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วซินะกับการอบรมที่มีวิทยากรอย่างท่านอาจารย์พินิจ พันธ์ชื่น ซึ่งเก่งระดับประเทศมาอบรมให้เราสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยใช้ ICT ที่โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ดิฉันขอตัวก่อนนะค่ะ แล้วเจอกัน
ตอนที่ 3 โลกใบใหม่....กับหัวใจที่เข้มแข็ง หวังว่าคงได้รับความเมตตากับเพื่อนๆและพี่ ๆ นักอ่านทุกคน เข้ามาคอมเม้นกันบ้างนะคะ
ขอความกรุณาให้ทุกท่านช่วยเข้ามาอ่านและช่วยแนะแนวทาง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ไอเดียดีๆ ในการทำงานนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ว้าวหน้าสนใจมากเลยนะคะ นี่แหละชีวิตของครูตุ๊ก นี่นาสนใจมากว่างๆ จะอ่านให้จบ เพราะวันนี้เลิกงานแล้ว สนุกมาเลยเดี๋ยวกลับมานะคะ
สวัสดีครับครูตุ๊ก
ผมตามอ่านมาจากตอนที่แล้วครับ อิอิ
ขอสมัครเป็นแฟนคลับคุณครูนะครับ เดี๋ยวผมจะตามอ่านทุกตอนเลย ^^
สู้ ๆ นะครับผมเป็นกำลังใจให้
ขอบคุณครับ
เล่าได้สนุกดีค่ะ....แล้วจะคอยตามอ่านต่อตอน 3 นะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
สวัสดีคะ
ตามมาติดตามแล้วคะ :)
สวัสดีค่ะ
แวะมาทักทาย...น่ารักดีค่ะ ..
โหน้อง (ต้องขึ้นต้นงี้เลย) เจ๋งมากเลย. . . แค่ยกสองนะเนี่ยยังน่าสนใจขนาดนี้ ในฐานะที่เป็นญาติกัน (ก็นามสกุลเหมือนแม่พี่นี่นา)เห็นมะ. . .พอเริ่มดังก็มีคนนับญาติทันที พี่ขอบอกว่า Surprise มาก นอกจากเต้นรำสวย ใจดี แล้วยังเก่งอีกแน่ะ เขียนเร็วๆ นะ จะรออ่าน
เม้น เฉยๆ
*3*
เล่าซะสนุกเรยน๊ะ
แล้วตอนไหนน๊า จะเจอ รักแร้ ซักที
เอ๊า รักแท้ น่ะสิ ๆๆๆๆ
ก้อ คุนพี่ ป. น่ะสิๆ
เล่ามาด้วยน๊ะ โอเค๊ะๆ ?
คืนนี้ ฝันดีน่ะค่ะ จูฟๆ
เก่งจริงนะตัวแค่โอ่งมังกร
หิหิๆๆๆๆๆๆ
อะล้อเล่นๆๆๆๆ
เรื่องต่อไปขอเป้นเล่มย่อด้วยนะจ๊ะสำหรับคนรักการอ่านอย่างพี่