....ตามที่เคยเล่าว่า คุณพ่อและคุณแม่ของผมได้ฝึกให้ลูกทุกคนร่วมรับผิดชอบงานบ้านตั้งแต่ระดับปฐมวัยตามสภาพความพร้อมด้านร่างกาย สำหรับในเรื่องงานบ้านแล้ว เมื่อเข้าสู่ระดับชั้น ป.1-2 จะต้องช่วยงานบ้านทุกอย่าง เช่น กวาดบ้าน กวาดบริเวณบ้าน รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารแก่หมู(คุณแม่ลี้ยงหมูรุ่นละ 2-3 ตัว) ช่วยงานในครัว หุงข้าว(หม้อหุงข้าวแบบรินน้ำทิ้ง หุงด้วยเตาไม้ฟืน ซึ่งเมื่อผมเรียน ม.ศ. 2-3 ก็เปลี่ยนเป็นเตาถ่าน) รวมทั้งการเป็นลูกมือคุณแม่ในการซ่อมโต๊ะ เก้าอี้ หรือเครื่องใช้ในบ้านที่ชำรุด( ผมลับมีดเป็น มีดจะคมในเวลาอันรวดเร็ว ความเป็นช่างในบ้าน ความสามารถในการซ่อมของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวผมมาจนทุกวันนี้) (คุณแม่เก่งเรื่องงานไม้มาก ท่านเล่าว่า เคยเป็นผู้ช่วยคุณตาหรือเป็นลูกมือคุณตาในการสร้างบ้าน 1 หลัง-เป็นบ้านไม้แบบยกใต้ถุนสูงสมัยโบราณ)
.... “ลูกจะต้องดูแลรักษาบ้านได้ เมื่อจบชั้น ป.2” นี่คือ “เกณฑ์การจบหลักสูตร” ที่คุณแม่กำหนดสำหรับลูกทุกคน และวันหนึ่งในเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม(ผมจำไม่แม่นนัก) ซึ่งเป็นหน้าร้อน หลังจากผมจบ ป.2 ผมก็ถูกทดสอบความสามารถด้านการดูแลรักษาบ้าน โดย “ให้อยู่เฝ้าบ้านคนเดียว 5 วัน โดยในตอนกลางคืนจะมีคุณปู่มานอนเป็นเพื่อน” (แม้จะปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว แต่หมู่บ้านเราก็ปลอดภัย เพราะคนในหมู่บ้านล้วนเป็นเครือญาติกัน)(คุณพ่อ คุณแม่ พี่ๆ และ น้อง ๆ ไปทำธุระต่างอำเภอ น่าจะเป็น งานแต่งงานของพี่ชายคนโต) ผมจำเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ตื่นเช้าผมต้องกวาดบ้าน กวาดบริเวณบ้าน รดน้ำต้นไม้(หน้าร้อน) ต้มอาหารให้หมู(รำข้าวรวมกับต้น “บุก”) ให้อาหารหมู หุงข้าว ทำอาหารกินเอง และทำให้ปู่ด้วยสำหรับมื้อเย็นและมื้อเช้า ดูแลที่นอนให้ปู่ ฯลฯ เมื่อครบ 5 วัน ทุกคนกลับมา พบว่า 1) บ้านสะอาด เรียบร้อย 2) ต้นไม่ไม่ตาย ไม่เหี่ยว 3) หมู ไม่ตาย ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และ 4) ปู่ก็ชมว่ารับผิดชอบงานดีมาก(Rating จากปู่ อยู่ในเกณฑ์ ดี (ปู่ก็ไม่ตาย เช่น เดียวกับต้นไม้ และหมู) เมื่อผมทำได้ตามตัวชี้วัด เหล่านี้ ถือว่า “ผมสอบผ่าน วิชาการดูแลรักษาบ้าน”(วิชานี้ได้ติดตัวผมมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่เชื่อ ท่าน โทรไปถามภรรยาผมก็ได้น่ะ แต่...ไม่บอกเบอร์โทรหรอก)
.....ความน่าเศร้าใจในปัจจุบัน คือ มีการเรียนวิชางานบ้าน การดูแลรักษาบ้าน ในหลักสูตร แต่เชื่อหรือไม่ เด็กในปัจจุบันจำนวนมาก ทำงานเหล่านี้ไม่เป็น(มีเด็กรุ่นใหม่สักกี่คนที่ลับมีดเป็น จัดการงานบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม น่าจะมีการสำรวจหรือประเมินอย่างจริงจัง)
.....การฝึกและทดสอบทักษะการดูแลรักษาบ้าน ที่เน้นการประเมินตามสภาพจริง(Authentic Assessment ) ส่งผลให้ผมและสมาชิกในครอบครัวทุกคน มีทักษะในการดูแลรักษาบ้าน มีนิสัยรับผิดชอบงานบ้าน(สำหรับผมเอง ในบางครั้งใช้งานบ้านเป็นกิจกรรมอดิเรก หลังจากทำงานวิชาการมาแบบหนักมาก ๆ หรือเครียดมาก ๆ .. ล้างจาน กลายเป็นงานพักผ่อนได้ ว่างั้นเถอะ)
ในครั้งต่อไปผมจะเล่าเทคนิคของแม่ ป.4 ที่สอนให้ลูกเป็นนักวางแผนและกำหนดชีวิตด้วยตนเอง
สวัสดีครับ อาจารย์สุพักตร์ :)
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีคะ
ดิฉันแวะมาติดตามอ่านคะ
และอยากแนะนำให้ลองอ่านบันทึก รูปแบบตัวอักษร เพิ่มเสน่ห์ชวนอ่าน ดูนะคะ เพื่อช่วยในการปรับรูปแบบตัวอักษรให้อ่านง่ายมากยิ่งขึ้นคะ
ขอบคุณมาก คุณมะปรางเปรี้ยว(มะปราง น่าจะหวาน มะปริง น่าจะเปรี้ยว) ผมได้ลองปรับแล้ว ดังอักษรข้างบน คิดว่าน่าจะอ่านง่ายขึ้นนะครับ ขอบคุณมากจริง ๆ ที่คอยสอนคนแก่(ไม่นานคงจะเก่งขึ้น)
สวัสดีครับอาจารย์
แวะมาทักท้าย และติดตามอ่าน จะได้เอาเป็นแบบอย่าง
น่าสนใจครับ แปลกดี
ผมก็คงได้แค่
แม่ชนบท จบป.6 กับลูก 3 เรียนจบปริญญา 2 กำลังเรียน 1 ที่จุฬาฯ ก็น่าพอใจแล้ว
สวัสดีคะ ดร.สุพักตร์
ดิฉันแนะนำเป็นตัวอักษร Tahoma ดีกว่าคะ เพราะตัวจะหน้า ทำให้อ่านจากคอมจะง่ายกว่าคะ
ลองดูคะ
หากมีปัญหาการใช้งาน สอบถามเข้ามาได้เลยนะคะ :)
อาจารย์ครับสิ่งหนึ่งนอกจากความรู้ ความสามารถ และการอธิบายเรื่องนามธรรมให้เป็นเรื่องง่ายได้ที่อาจารย์มีอยู่เต็มเปี่ยมแล้ว ผมยังขื่นชอบอีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือความมีอารมณ์ขันของอาจารย์ ยกตัวอย่างเช่น "ปู่ก็ชมว่ารับผิดชอบงานดีมาก(Rating จากปู่ อยู่ในเกณฑ์ ดี (ปู่ก็ไม่ตาย เช่น เดียวกับต้นไม้ และหมู) เมื่อผมทำได้ตามตัวชี้วัด เหล่านี้"
ขอบคุณสำหรับความกรุณาที่ได้นำประสบการณ์มาเผยแพร่ครับ
ด้วยความเคารพ
มารับเอาไออุ่น จากครอบครัวอาจารย์คะ
เรียน อาจารย์ ดร.สุพักตร์ ที่เคารพ
เข้ารับการอบรม เรื่อง โครงการพัฒนาศักยภาพครูเพื่อยกระดับคุณภาพ สู่มาตรฐานสากล ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ได้รับความรู้และแรงบันดาลใจมากมาย วันนี้ได้อ่านแม่ ป.4 สร้างลูกปริญญาเอก คุ้มค่าคะ อาจารย์น่านั่งตำแหน่งเจ้ากระทรวงศึกษาธิการนะคะ กระทรวงเราจะได้ก้าวหน้า ขอบคุณมากค่ะ
ท่านถ่ายทอดประสบการณ์
ได้อย่างประทับใจมากครับ