การทำงานแบบไทยๆ มักจะยึดหลักแบบไลฟ์สไตล์ สบายๆ โดยส่วนใหญ่มักจะนิยมในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และมองเป้าหมายเป็นหลัก ส่วนวิธีการนั้นไม่ค่อยจะตายตัวเท่าไรนัก ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานมักจะเจออุปสรรคอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้ว ลักษณะการทำงานที่ประสบผลสำเร็จโดยรวมแล้ว ยึดหลักที่ง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ ดังต่อไปนี้
ประการที่หนึ่ง จงขจัดความกังวลออกจากตัวของคุณเอง
เมื่อตัดสินใจหรือแก้ไขปัญหาใดๆ คนเรามักจะเกิดความกลัวว่าคิดเช่นนั้น อาจจะผิดพลาดก่อให้เกิดความเสียหายก็ได้ ผู้ชนะที่มีความรู้สึกกลัวเช่นเดียวกันในแทบทุกครั้งที่จะตัดสินใจ แต่เขาจะไม่ยอมใส่ใจปล่อยให้ความกลัวครอบงำจนไม่สามารถจะทำอะไรได้ ตรงกันข้ามหากเขามุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ผู้ชนะจะเปลี่ยนความกลัวหรือวิตกกังวลให้กลายเป็นความกล้าหาญที่เป็นเชื้อเพลิงผลักดันให้เขาเดินรุดหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งจนประสบความสำเร็จ แม้บางครั้งอาจจะพบปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้ผิดพลาดบ้าง แต่กลับกลายเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าหรือเป็นประสบการณ์ให้เกิดความรอบคอบแข็งแกร่งมานะอดทน และจะไม่ผิดพลาดเช่นนั้นอีกต่อไป ย่อมดีกว่าความขลาดกลัวที่ไม่กล้าลงมือคิดตัดสินใจอะไรสักอย่าง คนพวกนี้กลัวความผิดพลาดมากจนเกินไป ไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงได้เพราะรู้อยู่ว่า ถ้าไม่ลงมือก็จะไม่มีวันผิดพลาด แต่ถ้าลงมือเมื่อใด โอกาสเสี่ยงต่อความผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้ทันที แล้วคนพวกนี้แหละคือผู้แพ้ตลอดกาล
ประการที่สอง จงดึงความสามารถที่มีอยู่ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์
เรื่องนี้มีความสำคัญมากกับชีวิตของคนเรา เพราะมีคนเป็นจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่สามารถค้นพบความสามารถของตนได้จนตลอดชีวิต จึงไม่เคยดึงออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของตน ขอให้คุณตระหนักว่าเราทุกคนล้วนมีคุณสมบัติหรือความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายอย่างอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเราค้นหาตัวเองไม่เจอว่ามีความสามารถพิเศษอะไรอยู่ในตัว จึงไม่สามารถดึงความสามารถนั้นออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตและงาน และเรื่องนี้ก็มักจะเป็นกับคนส่วนมากในโลกเสียด้วย มิฉะนั้นเขาคงจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กันอีกมากมาย ผู้ที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นในวงการนักแสดง นักร้อง นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ และแม้แต่คนในวงการกีฬา ล้วนเป็นบุคคลที่ค้นพบความสามารถพิเศษของตนได้สำเร็จกว่าคนอื่น เขาจึงฝึกฝนและพัฒนาศักยภาพทางด้านนั้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนคุณสมบัติพิเศษนั้นเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายตามวันเวลาของอายุที่เพิ่มขึ้น บุคคลเหล่านี้จึงประสบความสำเร็จในระดับประเทศจนถึงระดับโลก อย่างเช่นนักมวยที่เป็นแชมป์โลก นักกอล์ฟ นักวิ่ง นักกรีฑา นักฟุตบอล ฯลฯ เพราะการที่คนเราทำในสิ่งที่ตนเองถนัดเป็นพิเศษย่อมได้ผลดีกว่าทำในสิ่งที่ไม่ถนัดอย่างแน่นอน
ประการที่สาม ผู้ชนะจะควบคุมความกังวลใจหรือไม่พึงพอใจไว้ได้เสมอ
แน่นอนว่าในชีวิตของคนเราทุกคนต้องมีความเครียด ความกังวล และความไม่พึงพอใจเป็นครั้งคราว ด้วยกันทั้งนั้น แต่ผู้ที่พ่ายแพ้หรือไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตมักจะเก็บความเครียดความกังวลและความไม่พึงพอใจสุมไว้กับความคิดของตนเอง ไม่สามารถเก็บงำหรือควบคุมได้ จึงติดต่อผู้คนหรือทำการงานด้วยอารมณ์ชนิดนั้นครอบงำอยู่ ผลก็คือ มีปัญหาในการติดต่อหรือทำงานร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างราบรื่น ความคิดอ่านและสติปัญญาย่อมคับแคบเพราะถูกอารมณ์ร้ายครอบงำอยู่ แถมยังหมกมุ่นอยู่ด้วยความเครียด ความวิตกกังวลตลอดเวลา ซึ่งหาความสุขความพอใจในชีวิตได้ยาก เรื่องความสำเร็จก็คงยิ่งยากขึ้นไปอีก ดังนั้นผู้ประสบผลสำเร็จในชีวิตจึงต้องเริ่มตรงที่สามารถชนะใจตนเองได้เสียก่อน โดยควบคุมจิตใจและอารมณ์ของตนเองได้ดีเสมอ แล้วเขาจึงจะชนะใจผู้อื่น และควบคุมผู้อื่นได้ดีด้วยพลังเข้มแข็งทางจิตใจที่เหนือผู้อื่น
ประการที่สี่ ผู้ชนะมักจะสร้างความเปลี่ยนแปลง และความแปลกใหม่เชิงสร้างสรรค์ให้กับชีวิตเสมอ
ถ้าเราคิดเหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม ชีวิตก็ย่ำอยู่กับที่ไม่ไปถึงไหนอย่างแน่นอน เพราะความจำเจในชีวิตจะทำให้คนเราเกิดความชินชา อาการหนักๆ ก็คงต้องใช้คำว่า "เซ็ง" หรือ "เบื่อชีวิต" นั่นเป็นอาการ ของผู้แพ้หรือผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ใน ขณะที่บุคคลที่ประสบผลสำเร็จพวกเขาจะไม่มีวัน หยุดนิ่ง เขาจะจินตนาการไปสู่สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ทำให้เกิดความท้าทายที่จะเอาชนะให้ได้คือ ให้ได้ผลสำเร็จตามที่ปรารถนาและก็อุทิศตนให้กับงานใหม่นั้นๆ
ประการที่ห้า ผู้ชนะจะใช้ความพยายามเต็มความสามารถเสมอ
แม้ในบางครั้งหรือหลายครั้ง เมื่อมีความคิดริเริ่มหรือจินตนาการเกิดขึ้น ผู้ชนะจะไม่รีรอที่จะลงมือดำเนินการ แม้ว่าหลายครั้งเขาอาจจะไม่มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ความกังวลในข้อนี้จะไม่หยุดยั้งเขาไว้ได้ แทนที่จะท้อแท้กลับทุ่มเททำงานหนักและต่อสู้อุปสรรคอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ผู้ชนะจึงมักจะประสบผลสำเร็จก่อนคนอื่นเสมอ
ประการที่หก ผู้ชนะมักจะไม่มีข้อแก้ตัว
ผู้ชนะหรือผู้ประสบผลสำเร็จล้วนเป็นปุถุชนเหมือนเราทั้งหลายนั่นเอง เมื่อเขาเผชิญหน้ากับการ งาน ปัญหาและอุปสรรคในชีวิตและงานเขาก็อาจจะเกิดความเครียด ความวิตกกังวล อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย เช่นเดียวกับผู้แพ้ แต่เขาก็จะไม่ใส่ใจกับมัน ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขาจะไม่ยอมเปลี่ยนแผนงานหรือเลิกล้มโครงการ หากแต่ยังยืนหยัดต่อสู้อย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึง และในที่สุดเขาก็จะประสบความสำเร็จจนได้ ในขณะที่ผู้แพ้ เมื่อเกิดผิดพลาดล้มเหลวระหว่างดำเนินการ นำความเครียด ความวิตกกังวล ความทุกข์ใจมาสู่ตัวเขา จึงเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย เขาจะคร่ำครวญโอดโอยกับเจ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยและดึงโอกาสแอบอ้าง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ภาพนั้นไม่ประสบความสำเร็จ
ประการที่เจ็ด ผู้ชนะไม่เคยหมดหวัง
คุณก็คงยอมรับว่าในชีวิตของเราทุกคนย่อมพบทั้งความผิดพลาด ความถูกต้องความสำเร็จ ความล้มเหลวด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ผู้แพ้กับ ผู้ชนะมองกันคนละมุมเท่านั้นเอง ผู้แพ้จึงต้องแพ้อยู่เรื่อยไป ส่วนผู้ชนะก็จะชนะเพิ่มขึ้นทุกที แน่นอนว่าการทำงานย่อมมีสิ่งยากและง่าย แต่สำหรับผู้แพ้นั้นเมื่อมีงานยากๆ เข้ามา เขาจะยิ่งหวาดกลัว วิตกกังวลว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จเกิดความท้อ หมดหวัง หมดกำลังใจ ไม่คิดจะต่อสู้อุปสรรค จึงทำงานได้ไม่เต็มที่และท้ายที่สุดงานก็ผิดพลาด ไม่ประสบความสำเร็จจนได้ ...............
"ขอขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ ที่ให้ข้อมุลดีดีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ"
* ขอความกรุณาให้เพื่อนๆนักอ่านทุกท่านช่วยกรุณาบอกเคล็ดลับการทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จด้วยนะคะ
* เผื่อว่าจะเป็นแนวทางที่จะทำให้การทำงานในทุกๆวันมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นคะ
* ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
* ตุ๊กตา ^_^
ยังไม่ได้อ่านหรอก แต่อยากบอกว่าเข้ามาแล้ว ....
เป็นสิ่งที่เด็กๆ ควรเรียนรู้ไว้ ...แต่สำหรับคนมีอายุแล้วอย่างผม...มันคือสัจจธรรมที่แน่นอน ... สัจจธรรมคือเรื่องจริง คือเรื่องของธรรมชาติ .... มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ชนะแล้วเป็นไง แพ้แล้วเป็นไงบ้าง....สุดท้ายคืออะไร
ผู้ชนะ ดีใจลิงโลด ฉลองกันใหญ่โต กับเพื่อนกับญาติ ...
ผู้แพ้ เสียใจร้องให้ ญาติๆ คนที่รัก เจ็บปวดไปด้วย....
มันคือความสุขแล้วละหรือ เป็นสิ่งที่โลกกำลังทำอยู่ ....
* ขอบคุณนะคะ คุณเพื่อนที่แวะมาคอมเม้นอย่างดี
* แถมให้ข้อคิดหลายอย่างให้เราสามารถมองย้อนกลับไปดูตัวเอง
* แล้วมองเห็นอะไรหลายอย่างเหมือนเป็นการเตือนสติตลอดเวลา
* ขอบคุณนะคะขอบคุณจริงๆ
ช่วยกันรักษ์โลกครับ... รักเพื่อนมนุษย์ .... แต่ต้องมีภูมิต้านทานในตัวเองนะครับ ไม่งั้นก็จะเป็นเหยื่อของสังคม
นะครับครูตุ๊ก
* รู้แล้วคะ
* ขอบคุณ คุณเพื่อนนะคะ
สวัสดีคะอาจารย์ สบายดีไหมคะ จำหนูได้เปล่า หนู ตุ๊กตา 2/5ไง แค่เรามีความสุขก็เป็นการรักษ์โลกแล้วหละ