มาดูหน้าตานักเบสบอล little league ของ Kerrisdale กันเลยคะ
มีรุ่นเล็กมากๆด้วยค่ะ
ชุมชนนี้มีเสน่ห์ตรงที่เป็นชุมชนที่มีคนทุกวัยตั้งแต่เด็กมากไปสูงวัยมากๆ
มีปู่ย่าตายายมารอดูเด็กๆเต็มไปหมด
มาดูพาเหรดส่วนอื่นๆดูบ้างค่ะ
พอหมดพาเหรดแล้วทุกคนก็ไปรวมกันที่สนามเบสบอลเพื่อนเปิดงานแข่งคู่พิเศษ
บนถนนก็มีกิจกรรมต่างๆต่อ มีวงดนตรีมาเล่น ร้านค้าลดราคา มีของแจก เป็นต้นค่ะ
จบแล้วค่ะ มัทเป็นแค่นักเรียนที่มาอยู่ชั่วคราว ไม่ได้มีลูกเข้ารร.ที่นี่ ไม่ได้มีบ้าน แค่เช่าห้องอยู่ แต่มัทก็รู้สึกได้ถึงความเป็น "community" ของ Kerrisdale
เราซื้อกับข้าวร้านเดิมๆ ทานข้าวร้านเดิมๆ เดินถนนเดิมๆ เล่นเทนนิสสนามเดียวกัน ไป community centre ไปออกกำลังกายที่เดียวกัน หน้าตาคนแถวนี้ก็คุ้นกันไปเอง คุยกันไปเอง ยิ่งมีงานแบบนี้ยิ่งทำให้คนรัก neighbourhood ตัวเอง มีกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ทำลายกำแพงคนเมืองที่กั้นให้ต่างคนต่างอยู่ออกไปทีละน้อยละน้อย : )
คุณมัทนา
ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ที่เล่าบรรยากาศของชุมชน ผมกำลังเสนอให้ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) 17 ตำบล ของ 4 อำเภอ ในจังหวัดนนทบุรี จัดตั้ง สโมสรเด็กและเยาวชนประจำตำบล พร้อมคิดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเยาวชน โดยเชื่อว่า เด็กและเยาวชนจะเป็นพลังในการดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่ทุกคนในชุมชน ให้หันมาร่วมมือและร่วมพัฒนาชุมชนในด้านอื่น ๆ มากยิ่งขึ้นต่อไป การเรียกชุมชนว่า "กลุ่มเพื่อนบ้าน(Neighbourhood)" เป็นการให้ความหมายที่ดีมาก
ยอดเยี่ยมน่าอิจฉา.. อี๋กำลังทำงานวิจัยหัวข้อ เรื่องการการพื้นที่เรียนรู้ทางวัฒนธรรมผ่านอินเทอร์เน็ต
Copcept คือ อยากทำให้เป็นที่เรียนรู้ของเด็กกับวัยรุ่น และ เป็นที่ผู้ใหญ่เข้ามาศึกษาวัฒนธรรมสมัยของเยาวชน
เห็นตัวอยากแบบนี้แล้วปิ๊งเลย
อ้อ รูปสวยมากนะคะ
ยินดีมากๆที่อ.สุพักตร์มาเยี่ยมที่บล็อกนี้ค่ะ เพิ่งแอบไปดู thaievaluator.com มาเองค่ะ เพราะมัทก็ทำวิจัยเกี่ยวกับการประเมินเช่นกัน แอบชื่นชมกับบล็อกแม่สอนลูกอยู่ด้วยค่ะ
ขอบคุณอีกครั้งที่แวะมานะคะ
พี่หมอนนท์ (เพื่อนร่วมทาง): จริงๆแล้วจะให้วิเคราะห์ว่าชุมชนไหนเข้มแข็งกว่ากันเพราะอะไรก็น่าสนใจนะคะ เพราะแต่ละที่จะมีกลุ่มประชากรที่ต่างกันไป บางทีมี immigrant มากมาย บางที่มีแต่วัยที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัย แล้วเริ่มทำงานใหม่ๆ (ที่ที่ hip hip) บางที่ก็จนซะ บางที่ก็ไม่เหมือนที่ไหนเลย เช่นใน UBC ก็เป็นเขตการปกครองแยกออกไปเลย คนที่อยู่แต่ใน campus ก็จะได้อารมณ์อีกแบบค่ะ ไว้ว่างๆกว่านี้มัทจะลองค้นดู
คุณอี๋ (ladygenius)
ดีใจที่บันทึกนี้ทำให้คุณอี๋เกิดความคิดปิ๊งๆ งานคุณอี๋น่าสนใจดีนะคะ
คล้ายๆ senior pals รึเปล่าคะ
ขอบคุณที่แวะมานะคะ
สวัสดีครับ อ.มัท
ที่พวกบ้านเราไปดูงานไม่รู้ได้เห็นเข้าใจอะไรที่ ดูดีแบบนี้มาบ้างหรือเปล่านะครับ เป็นเรื่องที่เป็นพื้นฐานของชุมชนอยู่แล้วนะครับ แต่ว่าอย่างบ้านเราอาจไม่ได้คิดแบบเป็นโครงสร้าง หรือ รวบยอด เป็นคอนเซปท์อะไร ที่เห็น ๆ มีอยู่ก็คือ
งานบุญประเพณี ซึ่งมีทุกเดือน ( แต่จะมีบุญใหญ่ประจำปีเช่นกัน อาจต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ )
งานแข่งกีฬาสีโรงเรียน กีฬากลุ่มโรงเรียน กีฬา อบต. งานของดีประจำอำเภอจังหวัด
ผมว่าบางทีบ้านเรางานมันเยอะเกินไป ความสำคัญก็ไม่รู้จะพุ่งไปตรงไหน แล้วเราให้ความสำคัญไปที่ประเพณีวัฒนธรรม โดยอาจไม่ได้มองเรื่องโครงสร้างของชุมชนนัก ก็เลยทำให้เราหลากหลายแต่ไร้จุดหมาย
แต่ขณะเดียวกันตัวปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมประเพณี หรือการปรับประยุกต์ใช้ก็กำลังเกิดปัญหาไม่เหมาะสมกับสถานการณ์หรือ ความจำเป็นในการดำเนินชีวิตในยุกปัจจุบัน
อีกเรื่องที่พยายามพัฒนากันอยู่ตอนนี้ก็คือ แผนชุมชน ซึ่งก็โยนเอาภาพใหญ่ ๆ กว้าง ๆ ลงไปในหมู่บ้านกันอีกทั้งทาง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม ศาสนา
ผมว่าก็ทำให้ความเป็นชุมชนยังคงมองกันไม่ออก บอกกันไม่ได้ และขาดการเชื่อมต่อรูปแบบวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมกับการประยุกต์ใช้ในสังคมใหม่อีกอยู่ดี
เราขาดการจัดการที่ดีอีกตามเคยนะครับ ก็เหมือนยามเราได้เป็นเจ้าภาพจัดงานอะไร หรือกีฬาอะไรระดับชาติซักอย่างในบ้านเรา บางครั้งมันจับต้องมองเห็นความชัดเจนในแต่ละครั้งยากจริง ๆ แม้แต่เพลงประจำการแข่งขันก็....ไม่ได้บอกอะไรนัก...
ขอบคุณที่นำมาให้ผมได้ทราบอะไรมากขึ้น ไปอีก แล้วก็อ่านที่ผมบ่น ๆ มาด้วย ( อยากลองแลกเปลี่ยนเป็นเชิงสังคมเปรียบเทียบน่ะครับ )
ขอบคุณนะครับ ฤดูใบไม้ผลิดูดีมั้ยครับ
คุณสุมิตรชัยคะ บ่นได้เลยค่ะ รับฟังเพราะบ่นแบบวิเคราะห์แบบนี้มีประโยชน์
มัทขอบ่นกลับนิดนึงว่า จริงๆมัทไม่กังวลสังคมชนบทเท่าสังคมเมืองเพราะองค์ความรู้บ้านเรา เรื่องสังคมชนบทมีคนสนใจรวบรวมมามาก แต่สังคมเมืิองนั้นมีน้อยกว่า
งานบุญประเพณี งานโน่นงานนี้ มีพิธีเปิด เชิญคนโน้นคนนี้มาเป็นหน้าเป็นตามันเป็นวัฒนธรรมไทยไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ดี เราใช้มันเป็นโอกาสได้
สิ่งที่มัทนำเสนอในบันทึกนี้มัทอยากให้เห็นโครงสร้างที่ทางหลวงจัดให้ คือ community centre, สนามกีฬา, ห้องสมุดประชาชน, การแบ่งโซนเป็น neighbourhood
ส่วนแต่ละที่จะทำอะไรก็ให้คิดกันเอง ทางหลวงไม่ต้องไปสั่งไม่ต้องไปทำแผนอะไรให้เค้า ให้เค้าคิดเองหางบเอง หรือ ถ้าต้องการงบก็ค่อยขอทางการเอา
ทางการส่งคนมาช่วยงานตลอด
มัทคิดยังไม่ออกว่าจะ appply กับสังคมระดับตำบลอย่างไร เพราะ อบต.เรามีอำนาจในหลายๆด้านมากเหลือเกิน ถ้าไม่เป็นข้อดีสุดๆไปเลยก็เป็นอุปสรรคที่น่าเก็กซิมมาก
ในใจมัทคิดถึงกรุงเทพ รังสิต บางบัวทอง ประมาณนี้ค่ะ ยิ่งที่ที่มีคนอพยพเข้ามาทำงานมากๆยิ่งน่าคิด
พลัดกันบ่นเนอะคะ : ) ขอบคุณที่ิแวะมาแลกเปลี่ยนกันนะคะ
คุณกวินทรากร: ขอบคุณมากๆสำหรับความสม่ำเสมอ : )
แวนคูเวอร์ติดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกทุกปีคะ บางปีก็ที่ 1 บางปีก็ที่ 3 ขึ้นๆลงๆ เห็นบันทึกนี้แล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ใช่มั้ยคะ : )
ต่อมาจากบันทึกที่แล้วเลยค่ะที่คุณnaree suwan
บอกว่า เพื่อนบ้านคือรั้วที่ดีกว่ารั้วกันขโมยใดๆ
คนใหม่หมู่บ้านสังคมเมือง ต้องมีรั้วสูงๆก็เพราะไม่ได้อยู่เป็นชุมชนช่วยกันก็เรื่องนึงเนอะคะ
บ้านมัทที่กรุงเทพก็อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรที่เจ้าของโครงการเค้าทิ้งไปแล้ว ก็เลยเริ่มมาดูแลกันเอง รู้จักกันบ้าง แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่ มีผู้สูงอายุไปรวมตัวกันออกกำลังกายนั่งคุยตอนเช้าริมสระน้ำ มีการจัดงานตักบาตรร่วมกันตอนปีใหม่ริมสระน้ำ
นี่แหละค่ะที่มัทบอกว่า ตัวโครงสร้างทางกายภาพช่วยได้ ถ้าไม่มีสระน้ำบ่อน้ำนี้ก็ไม่มีพื้นที่รวมตัวกัน เพราะฉะนั้น มัทจะให้ความสำคัญกับ พื่นที่ เหล่านี้มาก ศูนย์ออกกำลังกายที่ไม่ใช่แค่ลานเล่นบาสนี่ถ้ามีจะดีมากๆ ที่นี่ศูนย์ชุมชนมียิมชนิดที่ไม่ต้องไปจ่ายเงินเข้าฟิตเนสเอกชนแพงๆที่ไหนเลย ที่นี่จ่ายปีละ 4000 บาท ไปบ่อยแค่ไหนก็ได้ ตีเทนนิสก็ตีฟรี สนามไม่ต้องดีเลยค่ะ เทปูนนี่แหละ ก็ใส่รองเท้่าไม่ต้องดีมาก แต่ก็มีที่ตีได้บ่อยๆและฟรี สวนสาธารณะตรงบ้านมัทที่นี่ก็เป็นสนามหญ้าใหญ่แต่ 2 สนามบอล แค่นี้ก็มีพิื้นที่สีเขียวให้คนมาเดินเล่น นั่งพัก โยนบอล เตะบอล มาปิคนิคได้แล้ว ไม่ต้องแต่งอะไรให้หรูหราเลย
แล้วทางรร.มัธยมที่นี่ก็เปิดให้ใช้ลู่วิ่งกับสนามบอลหลัง 5 โมงเย็นอีกต่างหาก คือพอนร.กลับบ้าน คนอื่นๆในชุมชนก็มาใช้ได้ถึงเที่ยงคืนถึงปิดไฟ มัทเห็นกลุ่มพ่อบ้าน อายุ 50-60 มาแตะบอลอยู่เรื่อยๆ บางทีก็มีกลุ่มวัยรุ่นมาแจมแตะด้วย น่ารักจะตาย
เขียนซะยาวเลย แฮะๆ