โลกร้อน (2.3.2)


จากที่กล่าวมาในบันทึกชุด โลกร้อน (2.*) มาทั้งหมด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ สร้างผลกระทบโดยอ้อมอย่างร้ายแรงจนเยียวยาได้ยาก สถานการณ์จะยิ่งหนักหากเรายังไม่เข้าใจสาเหตุ ซึ่งจะทำให้แก้ไขได้ไม่ตรงจุด เป็นเพียงการบรรเทา หรือยืดปัญหาออกไปในอนาคต ซึ่งผลร้ายจะตกอยู่กับลูกหลานของเราเอง

ผมอายุไม่ยืนพอที่จะยืนยัน แต่มีผู้รู้บรรยายไว้ว่าเมื่อโลกเกิดขึ้นนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นจุลชีพขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรมีพื้นผิวกว้างที่สุด จึงมีพื้นที่ให้คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศละลายน้ำได้กว้างใหญ่

จุลชีพเหล่านี้ ค่อย ๆ เปลี่ยนสารละลายคาร์บอนไดออกไซด์ (อนุมูลคาร์บอนเนต CO3--) เป็นหินปูน CaCO3 ซึ่งกระบวนการนี้ ใช้เวลาหลายร้อยล้านปี จนความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเบาบางลง โลกสะท้อนความร้อนออกไปในอวกาศได้ดียิ่งขึ้น อุณหภูมิของบรรยากาศโลกลดลง เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมากมาย

ตรงไหนมีหินปูน ตรงนั้นน่าจะเคยเป็นทะเลมาก่อน

โลกเก็บกักคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ในรูปของสารประกอบ มนุษย์นำเอาสารประกอบนั้นออกมาใช้ เปลี่ยนแปลงพันธะทางเคมี ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ โดยการกระทำอย่างนี้ หากไม่ทำ โลกก็จะไม่ "เจริญ" มาแบบนี้ และจะไม่สิ้นสุดลงในแบบนี้เช่นกัน

ชีวิตคือหน่วยคาร์บอน (Carbon-based unit)

คำว่าหน่วยคาร์บอน ใช้ในภาพยนต์ Star Trek: The Motion Picture ในปี 1978 ซึ่ง V'ger (ยานอวกาศ Voyager) กลับสู่โลกเพื่อนำความรู้ที่สำรวจจักรวาลมา คืนให้กับมนุษย์ชาติ

V'ger พูดผ่าน Ilia ถูกอยู่อย่างหนึ่ง คือมนุษย์เป็นหน่วยคาร์บอน ร่างกายเราประกอบด้วยคาร์บอน สิ่งมีชีวิตบนโลกประกอบด้วยคาร์บอน เมื่อร่างกายเสื่อมสลายลง ก็กลายเป็นซากพืช ซากสัตว์ เป็นการปลดปล่อยคาร์บอนกลับคืนสู่ดิน

ค า ร์ บ อ น นั่ น ล่ ะ คื อ ค ว า ม อุ ด ม ส ม บู ร ณ์ ข อ ง ดิ น -- ไ ม่ ใ ช่ ปุ๋ ย

เปรียบเหมือนร่างกายของเรา ต้องการสารอาหารทั้งห้าหมู่ในปริมาณที่เหมาะกับความต้องการ ไม่ใช่อาหารเสริม หรือยาโด๊ป

ห่วงโซ่อาหาร คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้กินและผู้ที่เป็นอาหาร บนสุดของห่วงโซ่อาหาร หนีสัจธรรมของชีวิตไปไม่พ้น เมื่อตายลง ร่างกายเน่าเปื่อย กลับลงสู่ดิน คืนคาร์บอนให้เป็นอาหารของพืช

พืชต้องการคาร์บอนกับน้ำไปสร้างกลูโคส (C6H12O6) ด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสง จากนั้นจึงลำเลียงไปเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นเซลลูโลส (C6H10O5)n เป็นเนื้อไม้

เมื่อเราเผาพืช พันธะทางเคมีของเซลลูโลส (ผนังเซลของพืช) แตกสลาย กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้คาร์บอนถูกปล่อยออกสู่บรรยากาศ ไม่ได้กลับคืนสู่ดิน ดินถูกฆ่าตัดตอน

ดังนั้น การเผาป่า เผาหญ้า จึงเป็นการทำลายความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยตรง

ดินของเมืองไทย แม้ที่ราบลุ่มภาคกลาง ไม่ได้อุดมสมบูรณ์ด้วยตัวของดินเอง

ซากพืช ซากสัตว์ (Humus สีน้ำตาลหรือดำ) แบบที่เป็นออร์กานิกคาร์บอน เป็นอาหารของพืชได้

Humus ย่อยสลาย เปลี่ยนเป็นสารประกอบอื่นๆ ที่อุณหภูมิสูงกว่า 25°C (wikipedia) แต่อุณหภูมิของเมืองไทย มักสูงกว่า 25°C จึงต้องใส่ใจปรับปรุงดินให้มาก

Humus ไหลมากับน้ำ(ท่วม)ได้ อยู่ได้พักใหญ่ แต่จะค่อยๆเปลี่ยนสภาพไป

ถ้าใช้อย่างเดียว ไม่มีบำรุง อย่างเช่นไร่เลื่อนลอย เผาแล้วอยู่ได้สองสามปี พอดินเสื่อม ก็อพยพไปเบียดเบียนที่อื่น ทิ้งที่เก่า รอวันเป็นทะเลทราย

ถ้าไม่มี Humus แล้วน้ำไม่ค่อยท่วม หรือท่วมแต่ไม่ได้นำเอา Humus มา ก็ลองนึกถึงดินอีสานซิดูครับ ยิ่งถ้าไม่มีพืชคลุมดิน ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นทะเลทรายมากขึ้น

ส่วนดินเชิงเขาซึ่งไม่มีน้ำพา Humus มา ยิ่งต้องการให้เกิดการย่อยสลายของซากพืช ซากสัตว์ตามธรรมชาติมากขึ้น เพราะว่าน้ำที่ไหลลงจากเขา พา Humus ไปจากเขา การเผาที่ เผาป่า เป็นการเร่งให้ดินเสื่อมสภาพ

แหล่งเก็บคาร์บอน

หากเก็บคาร์บอนไว้ได้ ก็เท่ากับกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศได้เช่นกัน

Carbon stored in soils oxidizes rapidly; this, in addition to high rainfall levels, is the reason why tropical jungles have very thin organic soils. The forest eco-system may eventually become carbon neutral. Forest fires release absorbed carbon back into the atmosphere, as does deforestation due to rapidly increased oxidation of soil organic matter.

โลกมีแหล่งกับเก็บคาร์บอนแหล่งใหญ่อยู่สองแหล่ง คือ

มหาสมุทร

ดังที่เกริ่นมาข้างบนแล้ว มหาสมุทร์เป็นแหล่งกับเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุด เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ ละลายน้ำได้ และเป็นอาหารของไฟโตแพลงตอน หรือแพลงตอน (Phytoplankton) ซึ่งเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ ไปเป็นรูปสารประกอบอื่น (ตะกอนหินปูน)

อย่างไรก็ดี มีการประมาณการไว้ว่า หนึ่งในสามของมลพิษที่มนุษย์ปล่อยออกสู่บรรยากาศ ลงไปสู่มหาสมุทร ซึ่งน่าจะเป็นการเกินกำลังของกลไลธรรมชาติที่จะกำจัดได้

ดิน

ดินเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าผลรวมของคาร์บอนที่อยู่ในพืชเพาะปลูก+ก๊าซที่ประกอบด้วยคาร์บอนในบรรยากาศทั้งหมด

มนุษย์ทำลายดินด้วยการเผา ตัดตอนวงจรของ Humus ที่คืนคาร์บอนกลับสู่ดิน


บันทึกนี้ ชักยาวไปอีกแล้ว จึงขอพักไว้แค่นี้ก่อน สำหรับบันทึกในชุดนี้ ใช้คำสำคัญ โลกร้อน (2.*) ครับ

หมายเลขบันทึก: 180117เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2008 01:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:51 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

สวัสดีค่ะท่าน

ขอมาเตือนภัยเรื่องพายุจะเข้าประเทศไทยในเร็วๆ นี้ค่ะ ระวังการอันตรายในเดินทาง สุขภาพ และน้ำท่วมด้วยนะคะ

 

ขอบคุณครูมิมครับ เฝ้าดูอยู่ตลอดครับ ผมมีระบบเตือนภัยดีพอสมควร

มาอ่านอีกที ต้องกลืนน้ำลายหลายเอื๊อกกลางดึก เรียกท่านเลยหรือครับ ไม่ดีมั๊ง

แล้วเราจะช่วยคลายร้อนได้ยังไงดีคะ

ปลูกต้นไม้

สวัสดีตอนเช้าค่ะ

  • ขออภัยค่ะ
  • แล้วให้มิมเรียกอะไรดีค่ะ อิอิ
  • ขอให้บอกมาค่ะ มิมจะปฏิบัติตาม
  • รักษาสุขภาพนะคะ
  • ชัดในประเด็นคาร์บอนใหม่ ที่คาคอ คาใจ ยิ่งขึ้น
  • โลกร้อน เพราะกิเลศเผา ความรู้ไม่ถูกต้อง ไม่พอเพียงมาใช้ นี่เอง
  • ใชไหมท่าน ?
  • ขออีก ว่างเมื่อไหร่เขียนเลย
  • รอนาน มันเหงา นะ
  • เรื่อง นี้ขอนุญาต เอาไปประกอบการโม้ ที่มหาสารคาม
  • วันที่20 นะครับท่าน อิ อิ

คุณใบบุญ: เข้าใจเหตุก่อน จึงจะแก้ได้ตรงจุดครับ เช่นแม้แต่ปลูกต้นไม้ การปลูกต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีเนื้อไม้ ก็ดีกว่าปลูกพืชล้มลุกนะครับ เพราะต้นไม้ใหญ่ที่มีเนื้อไม้อย่างไม้เบญจพรรณ ยูคาลิปตัส มีน้ำหนักไม้มากกว่า จึงมีเซลลูโลสมากกว่า จึงดึงคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศได้มากกว่า -- แต่ปลูกไม้ดอก หรือไม้ล้มลุก ก็ยังดีกว่าไม่ปลูกอะไรเลย

ครูมิม: เรียนคุณ Conductor ดีกว่าครับ

พ่อครูบา: แม่นแล้วครับ เป็นเพราะกิเลส และมิจฉาทิฏฐิ เราจึงดึงเอาอนาคตมาใช้ในปัจจุบัน ทำให้เราย่ำยีโลก ด้วยความไม่รู้ บริโภคนิยม และ/หรือไม่คำนึงถึงอนาคตของลูกหลาน

จะพยายามเรียบเรียงความคิดออกมาให้เร็วที่สุดนะครับ ผมยังเชื่อว่าบันทึก เป็นแก่นของ GotoKnow เพียงแต่เกรงว่าจะไม่ครบทันวันที่ ๒๐ ดูตารางสองสัปดาห์ข้างหน้าแล้วก็หนักใจครับ

เอาบทความมาฝากให้อ่านค่ะ Confronting Carbon - National Geographic

การตายแล้วฝังน่าจะเป็นการคืนคาร์บอนให้กับดินแทนการเผานะคะ

  • ดีนะที่โลกร้อน
  • แต่ไม่ได้ใจร้อนตามโลก
  • อิอิๆๆ
  • มารับความรู้ แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ
  • ให้ข้อมูลได้ยอดเยี่ยมค่ะ แปะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ^_^

 

สวัสดีค่ะ

มาอ่านแล้ว และได้ความรู้ไปแล้วค่ะ จะขอนำไปกับ linkกับบันทึกใหม่ด้วยนะคะ

  • สวัสดีค่ะ
  • สาเหตุที่ทำให้สมดุลย์ของธรมชาติเสียไป
  • เกิดจาก2สาเหตุใหญ่
  • 1.คือธรรมชาติเอง
  • 2.จากฝีมือมนุษย์
  • ในที่นี่จะขอพูดถึงมนุษย์ ที่มีส่วนที่ทำให้เพิ่มปริมาณ Co2 ในบรรยกาศ รวดเร็วมากขึ้นในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
  •  2.1  ด้วยความไม่รู้(ไม่ตั้งใจ) พอจะแก้ไขได้
  •  2.2  ด้วยความรู้   (ตั้งใจ) แก้ยากมาก แต่ไม่เกินเทคโนโลยีที่แสนจะแพง ของประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยี
  • การแก้ไข ในกรณีประเทศไทย การศึกษา ช่วยได้ไหม ?
  • ใครตอบได้ แล้วแก้อย่างไร ใครแก้ได้แล้ว ขอให้เชิญท่านเหล่านั้นมาทำให้ดูปฏิบัติอย่างธรรมชาติที่ทุกคนทำได้อย่างธรรมชาติ น่าจะพอนำพาประเทศชาติอยู่รอดได้ระดับหนึ่ง
  • เท่าที่ผ่านมา ข่าวสารความรู้เรื่องถึงมือผู้ที่มีความรู้ ผู้มีเครื่องมือแสวงหาความรู้อยู่กลุ่มคนที่รู้แล้ว แต่คนที่ไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป เพียงแต่จัดให้ความรู้อย่างไรก็ซ้ำๆในกลุ่มเดิม
  • ทำอย่างไรให้ สส.ทำหน้าที่นำความรู้ไปสู่รากหญ้าประชากรส่วนใหญ่ที่เขาเป็นตัวแทนให้มีความรู้ความเข้าใจสภาวะโลกร้อนมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตการทำมาหากินความเป็นอยู่และอันตรายที่จะเกิดตามมาทั้งหน้าแล้งหน้าฝน หรือทุกๆ วันของชีวิต หากรักชีวิตและรักลูกหลานให้ร่วมสร้างวีรกรรมลดสภาวะโลกร้อน ที่เกิดจากการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการ
  • ด้วยการเรียนรู้จากการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ไม่กดดันให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ แต่ได้ผลค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท