โธ่...น้องเอ๋ย จะให้พี่บอกยังไงดีล่ะ?


โธ่...น้องเอ๋ย จะให้พี่บอกยังไงดีล่ะ?

สวัสดีครับเพื่อนๆ...

จะมีใครรู้ไหมครับว่า การทำงานเป็นฟรีแลนซ์เนี่ย มันเหนื่อยกว่าการทำงานเต็มเวลาอีกนะเนี่ย

กล่าวคือตอนนี้ผมทำงานอยู่หลายงาน ทั้งเป็นนักวิจัยอิสระ ทั้งเป็นที่ปรึกษาที่กระทรวงฯ ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมากทีเดียว ทั้งๆที่ต้องใช้เวลาในการทำงานมากขึ้นกว่าตอนทำงานเต็มเวลาเสียอีก

เพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลามานั่งเขียนบันทึกในบล็อกตามที่เคยได้ทำในอดีต แต่อีกนัยหนึ่งกลับเป็นช่วงที่ผมได้ทุ่มเทเวลาในการทบทวนชีวิตและความชอบ ความอยากทำ ความอยากจะเป็น ของตนเองมากขึ้น

สืบเนื่องจากบันทึกที่แล้ว ที่ผมได้เล่าเรื่องปัญหาทางจริยธรรมที่เกิดขึ้นในที่ทำงานของผม จากการที่ได้รับคำสั่งทางวาจาจากชาวต่างชาติให้กระทำในสิ่งที่ผิดจริยธรรม แล้วผมตัดสินใจเดินออกมาโดยไม่ยอมกระทำนั้น ไม่ว่าใครจะว่าผิดหรือถูก ผมก็ยังรู้สึกภูมิใจครับที่ตัดสินใจทำดังนั้นและไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เสียโอกาสทางด้านรายได้ที่สูงลิ่วนั้นเลย ทั้งๆที่มาทราบเอาภายหลังจากอาจารย์รุ่นพี่อีกท่านหนึ่งว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ในสถาบันแห่งนั้นที่ตั้งมาเกือบสี่สิบปี และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าวของผมถือเป็นครั้งแรกของสถาบันที่ลูกจ้างของฝรั่งกล้าที่จะปฏิเสธและร้องขอให้มีการสอบสวนเกิดขึ้นต่อ(ทหาร)ฝรั่งผู้ดำเนินการสั่งทางวาจานั้น

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว สองสัปดาห์แรกนั้นทางทหารฝรั่งที่เป็นหัวหน้าแผนกคนนั้นได้พยายามปิดข่าวอย่างมาก ทำให้ลูกจ้างคนไทยในสถาบันสับสน งุนงงว่าอะไรเกิดขึ้นกับหมอคนนี้ ทำไมออกมาอย่างกระทันหัน ทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่จากนั้นกระแสดังกล่าวก็เปลี่ยนไปคนละทิศหลังจากที่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

และกลับกลายเป็นว่าทุกคนเริ่มมีบรรยากาศ "มาคุ" ในการทำงาน เนื่องจากกระบวนการสอบสวนได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังหลังจากผมได้ร้องขอไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันสุขภาพแห่งชาติ เจ้ากรมแพทย์ทหารของต่างชาติ หน่วยงานด้านพิจารณาจริยธรรมของต่างชาตินั้นให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ทำให้หัวหน้าแผนกคนนั้นต้องพยายามหาทางปิดช่องโหว่ของตนเองเท่าที่จะทำได้

ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ครับว่า การสั่งทางวาจาย่อมไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานในการเอาผิดของคนๆนั้นได้ ผลการสอบสวนก็พบได้เพียงหลักฐานการกระทำผิดจริยธรรมด้านการวิจัยเพียงเล็กน้อย (Minor violations) และได้แต่เพียงตักเตือนฝรั่งคนดังกล่าวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลายคนได้ทราบผลแล้วก็รู้สึกเสียดาย แต่ผมกลับมองอีกแง่หนึ่งว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนี้แหละที่เป็นบทเรียนอันล้ำค่าของประเทศไทยของเรา โดยได้แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้มแข็งของกระบวนการตรวจสอบการดำเนินการศึกษาวิจัยในมนุษย์ การไม่เคารพและการละเมิดสิทธิของผู้เข้าร่วมการวิจัย อย่างน้อยการสอบสวนดังกล่าวก็ได้กระตุ้นให้เกิดขั้นตอนการควบคุมการวิจัยให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำในอนาคต

และแล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของสภาเมืองพัทยา และยังได้รับอีเมล์จาก NGO ท่านหนึ่ง โดยทั้งสองท่านได้ติดต่ออยากทราบข้อมูล และข้อคิดเห็นของผมว่าพวกเขาควรจะเข้าร่วมงานวิจัยอีกโครงการหนึ่งของสถาบันนี้ และของแผนกของทหารฝรั่งนี้หรือไม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการติดตามอาสาสมัครจำนวน 500 คนในเขตเมืองพัทยาซึ่งมีอาชีพที่อาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (เช่น หญิงบริการ ชายบริการ สาวประเภทสอง ฯลฯ)

คำถามนี้แหละทำให้ผมลำบากใจที่จะตอบ เพราะไม่ว่าจะตอบอะไร ก็เป็นคำตอบแบบมีอคติทั้งสิ้น ก็คุณๆต้องรู้ก่อนว่าผมเป็นผู้ที่เขียนโครงการดังกล่าวขึ้นมา ผมเป็นคนไปเจรจากับสภาเมืองพัทยา ผมเป็นคนไปติดต่อ NGO และกลุ่มประชากรในพื้นที่เพื่อให้มาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชากรในพื้นที่ ต่อประเทศชาติ โดยหวังให้เป็นกระบวนการให้ความรู้ และส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งด้านการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอนาคต

แต่การกระทำต่างๆในเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ โดยไม่ได้รู้ว่าไอ้ฝรั่งคนนั้นมันจะสั่งให้ทำสิ่งที่ผิดจริยธรรมการวิจัยในเวลาต่อมา เพราะสิ่งที่เค้าหวังนั้น

คือ "เลือด" เท่านั้น

โธ่...น้องเอ๋ย จะให้พี่บอกยังไงดีล่ะ?

 

 

หมายเลขบันทึก: 180823เขียนเมื่อ 6 พฤษภาคม 2008 10:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เลือดข้าใครอย่าแตะ เข้มข้น และ เข้มแข็งเหลือเกินค่ะ

ขอบคุณอาจารย์หมอ Keen ที่นำเรื่องราวของฝรั่งหัวเห็ดที่มาเอาเปรียบเมืองไทยมาถ่ายทอดให้เป็นบทเรียนล้ำค่าที่ต้องจดจำเอาไว้สำหรับคนในวงการแพทย์

เป็นกำลังใจให้อาจารย์ค่ะ เชื่อว่า การตัดสินใจในครั้งนี้จะนำสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตของอาจารย์ค่ะ คนเราทำดีย่อมได้ดีเสมอค่ะ ไม่มีข้อแม้ค่ะ

ขอบคุณครับอาจารย์จันทวรรณ สำหรับกำลังใจ :)

หวังว่าอาจารย์คงสบายดีนะครับทั้งคุณแม่ คุณพ่อ และคุณลูก

เห็นรูปของอาจารย์กับลูกแล้วทำให้นึกถึงตอนลูกผมยังเล็กๆครับ :)

  • ขอบคุณคุณหมอที่ทำให้ผมดีใจว่า
  • เมืองไทยยังมีคนดีๆๆอีกมาก
  • ดีใจที่รู้เท่าทันชาวต่างชาติ
  • ขอเป็นกำลังใจให้
  • ให้งานทุอย่างผ่านไปได้ด้วยดีครับ
  • ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับ อ.ขจิต สำหรับกำลังใจที่กรุณาให้มา :)

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ ถ้าพูดถึงความถูกต้องจะคิดถึงหมอนี้แหละคนแรกเลย เมืองไทยต้องการคนดีอีกเยอะค่ะ

ขอบคุณครับอ้อมที่แวะมาเยี่ยมเยียน และกำลังใจที่ให้ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท