อาชีพทำงานกับชนบทนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ชาวบ้านและกลุ่มเป้าหมาย องค์ความรู้ด้านนี้พัฒนามามากมาย สมัยเมื่อ 30 ปีที่แล้วนั้น เราต้องไปฝึกกันที่ สถาบัน เซียโซลินน์ ที่ฟิลิปปินส์ หรือในอิสราเอล หรือในฝรั่งเศส บุคลากรที่มีโอกาสมักเป็นกลุ่มในเครือคริสตจักรซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่ก้าวหน้าที่สุดในช่วงเวลานั้น แต่ต่อมา องค์กรพัฒนาเอกชนระดับนานาชาติ ที่เราเรียกว่า International NGOs เช่น World Vision, Save the Children, Care, Foster Parent Plan, และอื่นๆ หลังเข้ามาช่วยผู้อพยพจากลาว เขมร เวียตนาม พม่า แล้วก็หันมาทำงานพัฒนาชนบทไทยต่อเนื่องไป
หน่วยงานระดับนานาชาติเหล่านี้มีงบประมาณมาก นักวิชาการระดับโลกหลายคนก็ทำงานกับหน่วยงานเหล่านี้ จึงมีการนำความรู้ใหม่ๆด้านการพัฒนาชนบทมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งเขามีประสบการณ์มากจากการทำงานในประเทศโลกที่สามอื่นๆมาก่อนแล้ว ผมจำได้ว่ามูลนิธิฟริดดริช เนามัน แห่งประเทศเยอรมัน หลังจากจบงานที่สะเมิงที่ผมทำอยู่เมื่อปี 18 นั้น ก็มาตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ มีลักษณะเป็น funding agencies และตั้งฝ่ายฝึกอบรมขึ้นมาและจัดหลักสูตร TOT ให้แก่ NGOs ในเมืองไทยมากมาย เพราะเขาทราบดีว่า NGOs ในเมืองไทยนั้นมีความจำเป็นต้องเพิ่มพูนศักยภาพหลายด้าน กระบวนการฝึกอบรมเป็นด้านหนึ่ง
นักพัฒนาจำนวนมากผ่านหลักสูตรนี้และใช้ความรู้นี้มาจนปัจจุบันก็มีหลายคน
หน่วยงานราชการที่เจ๋งๆก็จัด เช่น ฝ่ายฝึกอบรม กพ. ถือว่าชั้นเซียน และอีกแห่งคือ กองฝึกอบรมกรมการพัฒนาชุมชน นี่เป็นเซียนเหยียบเมฆเลยหละ เทคนิค A-I-C ก็มาเริ่มและพัฒนาที่กรมการพัฒนาชุมชนนี้ครับ ที่ทางเหนือก็มี YMCA มีบุคลากรที่ฝีมือเยี่ยมหลายท่าน ผมเองผ่านการฝึกอบรมที่ YMCA เชียงใหม่ และมาเป็นวิทยากรบ้างให้กับ มูลนิธิฟริดริช เนามัน และมาเป็นผู้จัดให้กับข้าราชการกรมชลประทานสมัยทำงานกับโครงการที่ EU สนับสนุนทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกอบรมจากประเทศออสเตรเลีย ได้เรียนรู้มากพอสมควรในแง่หลักการ ทฤษฎี
แต่ทางปฏิบัติครับมีแง่คิดมากมาย ที่ผมใคร่ขอหยิบมาวิเคราะห์เพื่อ เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับ การจัดงานนี้ที่สวนป่าในวันที่ 17-19 นี้ครับ ข้อคิดเห็นต่อไปนี้ผมมีเจตนาจะให้เป็นการสะท้อนภาคปฏิบัติจากประสบการณ์ของผมเองครับ อันเป็นการเปิดฉากกระบวนการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกัน เพราะประสบการณ์นี้มันเก่ามากพอสมควร ความรู้ในปัจจุบันคงจะก้าวไปมากแล้ว
ผมสนับสนุนทีมงานพิษณุโลกที่จะจัดที่สวนป่าล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นสาระที่คนทำงานพัฒนาคนทุกท่านควรจะผ่านหลักสูตรนี้ แม้ว่าจะมิได้เอาไปใช้โดยตรง แต่สาระนั้นท่านสามารถดัดแปลง เอาไปใช้ในภาระรับผิดชอบของท่านได้ในหลายสถานะครับ ต่อไปนี้คือสรุปวิเคราะห์ประสบการณ์
- ประการแรกคือ องค์ความรู้ทั้งหมดที่ผมได้รับมาสมัยนั้นหากจะนำไปใช้ต้องให้องค์กรปรับปรุง ยืดหยุ่นหลายสิ่งหลายอย่างให้เอื้อต่อกระบวนการ แต่หน่วยงานไม่สามารถเอื้อได้ทั้งหมด การปฏิบัติจึงขาดๆเกินๆ เช่น ฝ่ายงบประมาณ เขาไม่รู้เรื่อง จะเอาแต่ระเบียบข้อบังคับอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สน คุณจะไปสร้างกระบวนการวิเศษเลิศเลออย่างไรก็เรื่องของคุณ ของฉันต้องอย่างนี้เท่านั้น...เฮ่อ เซ็ง
- จากข้อแรกนั้นพบว่า เราผู้ผ่านการฝึกอบรม เห็นแนวทาง เห็นกระบวนการ เห็นขั้นตอนที่จะสร้างความมีประสิทธิภาพ ในการสร้างกระบวนการสร้างคนสร้างชาวบ้าน แต่เจ้านายที่รักยิ่งไม่เข้าใจ ที่ร้ายไม่สนใจ จะเอาแต่ความคิดเขาเท่านั้น แล้วส่งตูไปฝึกทำพระแสงอะไร...
-
เพื่อนร่วมงานที่เป็นทีมงานของเรา ยังตามไม่ทัน ยิ่งภายใต้ระบบราชการ มีชั้น มีขั้น เองจะหลักการดีอย่างไรก็เรื่องเอง แต่พี่คิดอย่างนี้ เองอย่าเรื่องมากเลย เขาทำแบบนี้กันมากี่ร้อยปีแล้ว เฮ่อเจ้านายคนที่สอง...
-
กระบวนการที่สมบูรณ์ที่สุดคือ ขั้นเตรียม โอยเตรียมกันดีมาก ขั้นดำเนินการ ก็ว่า โอเคนะ ทีมวิทยากรเราก็สุดยอด แหย่ให้ชาวบ้านหัวเราะขนาดฉี่ราดก็พบมาแล้ว ต้องวิ่งไปเปลี่ยนผ้าถุงใหม่ จริงๆด้วยครับ แต่แม่เจ้าโวย ขั้นตอนหลังการอบรม ไม่มี ระบบไม่เอื้อ ไม่มีงบประมาณ ไม่มีนั่น ไม่มีนี่ "....โอยไม่ต้องทำหรอก ก็อบรมไปแล้ว ผลการประเมินก็อยู่ในขั้น ดีมาก พึงพอใจมาก ไม่ต้องทำหรอกหลังการอบรมน่ะ เวลาเองออกไปทำงานอื่นก็แวบไปติดตามซะหน่อยก็แล้วกัน...." มันคนละวัตถุประสงค์ คนละเรื่อง คนละบทบาทหน้าที่
-
ทีมฝึกอบรมสร้างยาก เมื่อสร้างได้แล้ว ประคับประคองยาก เพราะแต่ละคนก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้อย่างเดียว งานล้นไม้ล้นมือกันทั้งน้าน มิใช่ใครๆก็เป็นได้ ต้องเป็นคนที่มีบุคลิภาพพิเศษ ผมเคยกล่าวว่า วิทยากรที่เจ๋งๆนั้นคล้ายนักแสดงดาราภาพยนต์เงินล้าน แบบตีบทแตกหมด วุ้ย..หายากจะตาย กว่าจะขอคนนั้นมา คนนี้มา set ทีมได้ก็เหนื่อยลากดินแล้ว ทำไปสักพัก เจ๊นั่นไปซะแล้ว น้องนี่ไปเรียนต่อ พี่นั่นขยับตำแหน่งสูงขึ้น ไม่สามารถมารับผิดชอบได้อีก สารพัดปัญหา บางทีคนเดียวต้องว่าหลายเรื่องกันไปเลย จะไปเอาวิทยากรมาจากที่อื่นก็ไม่เคยขากัน เดี๋ยวพัง... เหนื่อยแทบขาดใจ ดีหน่อยที่ Participants ร่วมมือด้วย หากมีพวกลองดีเข้ามาละก็ แทบจะวิ่งเอาหัวชนเสาให้รู้แล้วรู้แรดไปเลย ..
-
หากเอากระบวนการนี้ไปใช้กับชาวบ้าน บางทีมันฝืด หากชาวบ้านเป็นเขมรสุรินทร์ เขาฟังภาษาภาคกลางอย่างเราไม่ถนัด หรือเขาพูดกลางไม่ถนัด และใส่ภาษาเขมรกับเรา โอย..เรียบร้อยโรงเรียนเขมรเลย ไม่รู้เรื่องกันน่ะซี แม้ว่าจะสืบมาก่อนว่า พื้นฐานเป็นอย่างไร แต่โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเปลี่ยนคนเข้ารับการฝึกอบรม มาแทน ไปไม่เป็นเหมือนกัน
-
การนำกระบวนการไปใช้กับชาวบ้านนั้น ผมพบว่าเพียงในห้องไม่พอ แม้จะจัดแปลงสาธิต การทำร่วมกันก็ตามเหอะ บางเรื่องต้องเป็นกระบวนการฝึกอบรมผสมผสาน On the job training ฝึกอบรมวิชาการแล้วเสร็จ ปล่อยให้เขาไปทำเองในหมู่บ้าน อีก สองสามวันไปเยี่ยมแปลง และกำหนดเวลามาเยี่ยมแปลงกันประจำจนกว่าเราจะมั่นใจว่า ชาวบ้านเขาทำเป็นแล้ว.... นี่ แบบนี่ ระบบการเงินสนับสนุนไหมล่ะในทางปฏิบัติ หากเป็นราชการ ยากสสส แต่หากเป็น NGOs หรือโครงการพิเศษ ทำได้ เพราะยืดหยุ่นกว่า...
เอ้านี่ว่าจะเอาแค่สองสามข้อ เลยเถิดไปหลายข้อเลย
สิ่งที่ผมหยิบมานี้เป็นเรื่องเก่าๆนะครับที่ผมมีประสบการณ์มาแล้ว นำมาอุ่นเครื่อง เผาหัวกันก่อนครับ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดครับตาหวาน อิอิ