จากการไปบรรยายในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มครู-อาจารย์ ปัญหาประการหนึ่งที่ถูกยกมาถกเถียงกันบ่อย คือ “ครูควรตีเด็กนักเรียนหรือไม่” “เราควรคืนไม้เรียวให้ครู หรือไม่” “การตีเด็ก เป็นการสร้าง หรือเพาะบ่มนิสัยการใช้ความรุนแรงที่ครูไม่ควรทำ” อีกคนหนึ่งเถียง เลยเถียงกันไม่หยุดและหาข้อยุติไม่ได้
ผมเองเชื่อว่า การที่เด็กเกิดปัญหา เช่น “อ่านหนังสือไม่ออก” “มีพฤติกรรมก้าวร้าว” “ไม่ตั้งใจเรียน” คงจะมีหลายสาเหตุ แต่ผมเองไม่เชื่อว่า "การที่เราไม่ตีเด็ก" หรือ “การที่ครูไม่ใช้ไม้เรียว” เป็นสาเหตุสำคัญที่สร้างปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ผลการวิจัยทั่วโลก ยืนยันว่า คดีอาชญากรรมเกือบ 100 % ล้วนเกิดจาก การที่อาชญากรได้เคยถูกกระทำแบบรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องในชีวิต การตีในโรงเรียน ถือเป็นวิธีการที่รุนแรงวิธีหนึ่ง ยิ่งถ้าอยู่บ้านก็ถูกพ่อ-แม่ตี มาโรงเรียนก็ถูกครูตี ยิ่งไปกันใหญ่ ในที่สุดก็ก่อคดีอาชญากรรมได้ครับ ในสภาพที่ควรจะเป็น เด็กควรได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของความรัก ความเมตตา ความมีเหตุมีผล ไม่น่าจะจะใช้วิธีการหล่อหลอมบนพื้นฐานของวิธีการที่รุนแรง นี่คือความเชื่อของผมนะครับ
ลูกสาวผมเรียนประถม 1-6 ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ตลอด 6 ปี ไม่มีข่าวคราวเรื่องโดนตีเลย และครูที่นั่นก็ไม่มีการตีเด็ก แต่จะเน้นการชม การเสริมแรง(การตี เป็นวิธีการควบคุมพฤติกรรมวิธีหนึ่ง การชม/เสริมแรง ก็เป็นกระบวนการควบคุมพฤติกรรม เช่นกัน แต่ทำได้ยากกว่า เพราะบางทีเราไม่คุ้นเคย) แต่ท่านเชื่อไหม นักเรียนที่นั่น ไม่เกเร ตั้งใจเรียน นักเรียนทุกคน อ่านหนังสือออกหมด เขาสอนให้ลูกสาวผมอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน ตั้งแต่เรียนชั้น ป.2 จนในที่สุด ลูกผมก็เป็นนักอ่าน ทั้ง 2 คน (แล้ววันหลัง ผมจะเล่ากลยุทธ์การสอนให้เด็กอ่านคล่องของโรงเรียนแห่งนั้น น่ะครับ)
ปัญหา การตี-ไม่ตีเด็ก เป็นปัญหาโลกแตกที่นักวิชาการหรือครู มีความเห็นแตกต่างกันหลายกลุ่ม ผมเองก็เคยตีนักเรียน สมัยสอนมัธยม แต่ผมคิดว่า ผมทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตช่วงนั้นอยู่กับนักเรียน(ทั้ง 7วัน )เพราะเป็นคนโสด วันหยุด ลูกศิษย์ผมจะมาทำอาหารกันที่บ้านพักผม เป็นประจำ ผมสนิทสนมกับเขามาก ๆ เขาดูออกว่า ผมรัก ห่วงใยพวกเขาอย่างจริงใจ อาจารย์เชื่อไหม เมื่อนักเรียนทำผิดหรือมีพฤติกรรมีที่ไม่เหมาะสม ผมจะตีเขา และพร่ำบ่นเสียใจที่เขาไม่เชื่อฟัง ลูกศิษย์ดูออกว่าผมเสียใจจริง ๆ หลายครั้งที่เข้ามากราบขอโทษผม(ทั้ง ๆที่ผมตีเขา) ผมเลยเกิดการเรียนรู้ว่า ครูตีเด็กได้ ถ้าเรามั่นใจว่า "ลูกศิษย์ดูออกว่าเรารักเขาอย่างจริงใจ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขาตลอดเวลา" การตี จะไม่มีการเพาะบ่มความแค้นเลยในกรณีนี้ แต่ถ้าเราไม่มีเวลาดูแลพวกเขาอย่างใกล้ชิด และ นักเรียนดูไม่ออกว่า เรารัก-ห่วงใยเขาอย่างจริงใจ ในกรณีนี้ การตี จะเป็นการเพาะบ่มความคับข้องใจ ความแค้น เมื่อมีโอกาส เด็กจะแสดงพฤติกรรมความรุนแรงได้ ครับ
ท่านคิดอย่างไรกับปัญหานี้ครับ...แล้วท่าน(ในฐานะที่เป็นครู) จะตีเด็กไหมครับ...ถ้าจำเป็นต้องตี เราจะต้องทำอย่างไรครับ ช่วยคิดกันหน่อยนะครับ
การตีที่มาจากความรัก ตีเพื่อสั่งสอน ตักเตือน มันไม่เหมือนการตีให้เจ็บ แค่เพียงร่างกาย เจ็บซ้ำ
ตี หรือ ไม่ตี ไม่น่าเป็นปัญหา ดี-ไม่ดี มันอยู่ที่เจตนาของผู้กระทำ อย่าเอาโรงเรียนเอกชนมาเปรียบเทียบกับโรงเรียนรัฐบาลเลยค่ะ มันคนละเรื่อง แล้วคนที่มีพ่อเป็นด็อกเตอร์ กับ คนที่มีพ่อเป็นกรรมกร กลยุทธ์การสอนลูกคงไม่มีวันเหมือนกันหรอกค่ะ
การลงโทษนักเรียนโดยใช้วิธีการ"ตี"...จะเหมาะสมหรือไม่ขึ้นกับว่า ครูมีเหตุผลกับการลงโทษหรือไม่...ถ้าเกิดจาก "หลักเหตุผล" มิใช่อารมณ์ การตีก็สามารถใช้มาตรการหนึ่งของการลงโทษ...แต่อย่างที่อาจารย์กล่าวนะค่ะ...การลงโทษมีได้หลากหลายรูปแบบ....อยากให้ครูลงโทษเชิงสร้างสรรค์...เหมือนคำกล่าวโบราณว่า "ติเพื่อก่อ" ในประสบการณ์ของตนเองโชคดีที่ได้สอนนักเรียนที่มีความตั้งใจในการเรียนสูง (ช่วงชั้นที่ 4 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์) ทำให้การควบคุมพฤติกรรมไม่พึงประสงค์จะใช้รูปแบบการ ติ เสียมากกว่า หรือแม้แต่การชม...เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เขารู้ว่า เขาก็สามารถมีพฤติกรรมดีๆ ได้....เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นศาสตร์และเป็นศิลป์ของการเป็นครูเหมือนกันค่ะ...แต่รากฐานของเรื่องนี้คือ เหตุผล ถ้าเรามีเหตุผล ดุอย่างมีเหตุผล และชมก็อย่างมีเหตุผล ก็จะเป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ครู นักเรียน และผู้ปกครอง
น่าอายแทนชาวจุฬาและอาจารย์ของคุณที่นั่น จบสถิติมาได้อย่างไร ไม่รู้จักขยายผลสิ่งดีๆ
ขอบคุณมากครับ คุณปลง
ปล. คุณน่าจะเรียนรู้สิ่งดีๆจากโรงเรียนของลูกสาวคุณ แล้วมาเล่าสู่กันฟังจะเป็นคุณูปการอย่างสูงในแวดวงการศึกษาไทยครับ
ขอบคุณอีกครั้ง ครับ คุณปลง
ปลง นศ.นิดหน่อยเท่านั้นเองครับ ที่อังกฤษเขามีการศึกษา ถกเถียง ทดลองกันจนเปลี่ยนเป็นกฎหมายแล้วครับ ส่วนสหรัฐนั้นเป็นมาก่อนแล้ว พอดีผมศึกษาเรื่องของอังกฤษครับ
เมื่อปี 74 อินโดจีนกำลังแตก ผมเกรงว่าประเทศไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์ จึงไปปรึกษาครูประวัติศาสตร์ ท่านบอกไม่ต้องกลัว ประเทศไทยอยู่ได้ แต่สหภาพโซเวียตเสียอีก ไม่นานจะล่มสลาย คนธรรมดา ใครจะคิดได้ในตอนนั้น
ในเรื่องการศึกษาก็เช่นกัน แนวโน้มประเทศไทยเป็นเหมือนเขาเมื่อ 40 ปีที่แล้วมากเลย เราจึงเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเขาพร้อมกับคิดไปด้วยจะไม่ดีกว่าหรือ
คุณปลง และ คุณปลง Square
ผมไม่ขอออกความคิดเห็นเรื่องหลักสูตรการศึกษา แต่อยากจะบอกว่าการตีเด็กมันมีประโยชน์เป็นศูนย์แท้ ทางสถิติ หากเราคิดให้ดี แผ่เมตตาและใช้ปัญญาแทนกำลัง
ความคิดอ่านของ ดร.สุพักตร์ เชยมากค่ะ เหมือนกับไปอยู่ในถ้ำของเพลโตมาครึ่งศตวรรษเลยค่ะ