เขียนให้อ่านเล่น ๆ ค่ะ มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง
วิชาประวัติศาสตร์น่าเบื่อจริง ?
อ่านบทความเรื่อง “ปัญหาของการเรียนประวัติศาสตร์” ของ อาจารย์ ดร.โกวิท งศ์สุรวัฒน์ แล้ว ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการเขียนบทความเรื่องนี้ เพราะมีทั้งเรื่องที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย นี่คือความสำคัญของอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดมุมมองที่แตกต่างกันได้
ปัญหาการเรียนประวัติศาสตร์ของเด็กเวียดนามคือ เด็กเวียดนามทำคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยวิชานี้ได้น้อย คือ ได้เพียง 2.09 คะแนนจาก 10 คะแนน ขณะที่เด็กไทยน่าจะทำคะแนนวิชาประวัติศาสตร์ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ต่ำกว่าประมาณร้อยละ 40 – 50 ถือว่าสูงกว่าเวียดนาม คะแนนสอบวิชาประวัติศาสตร์ของเด็กไทยจึงไม่ด้อยเท่าใดนัก
แม้ว่าคะแนนสอบวิชาประวัติศาสตร์ของ 2 ประเทศนี้จะมีความแตกต่างกัน แต่ภาพลักษณ์ของวิชาประวัติศาสตร์ ในสายตาของทั้งคนไทยและคนเวียดนามไม่ค่อยแตกต่างกันนัก ต่างเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่น่าเบื่อ เรียนไปก็ไม่ได้นำไปใช้ในการประกอบอาชีพจริง ๆ แล้วยังเป็นวิชาที่ต้องจดจำอะไรมากมาย ยิ่งทำให้เป็นวิชาที่น่าเบื่อเข้าไปใหญ่ ดีไม่ดีอาจมีทัศนคติว่าครูผู้สอนวิชานี้สอนได้น่าเบื่อ ไม่มีหลัก จิตวิทยาที่จะเข้าใจเด็กอีกต่างหาก
เมื่อเด็กมีทัศนคติแบบนี้ต่อวิชาประวัติศาสตร์ตั้งแต่เริ่มแรกที่ยังไม่ได้เรียน ย่อมพยากรณ์ถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้เป็นแน่ เมื่อไม่รักไม่ชอบที่จะเรียน คะแนนย่อมไม่ดีตามไปด้วย
จริง ๆ แล้ววิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด เพราะเป็นวิชาที่สามารถผึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ ให้คิดได้หลายรูปแบบหลายมุมมอง ฝึกให้ไม่ด่วนสรุปอะไรง่าย ๆ วิชาประวัติศาสตร์นอกจากต้องอาศัยหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ มาวิเคราะห์แล้ว ยังจะต้องฝึกการใช้จินตนาการควบคู่ไปด้วย ซึ่งจินตนาการ
จะทำให้คนมองไปข้างหน้ามากกว่าการอยู่กับอดีต และปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นจินตนาการจึงมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคมด้วยเช่นกัน
วิชาประวัติศาสตร์ฝึกให้คนรู้จักคิด รู้จักวิธีการแสดงความคิดเห็น และสอนให้คนใจกว้างเพียงพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่แตกต่างไปจากตน หากความคิดเห็นนั้นมีหลักฐานมีเหตุผลความน่าเชื่อถือเพียงพอ เพราะวิชาประวัติศาสตร์ฝึกให้คิดหลาย ๆ แบบ และพร้อมที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคำอธิบายใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่หลงเหลือซากร่องรอยของคำอธิบายเดิมก็ได้ เนื่องจากการอธิบายเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ขึ้นอยู่กับหลักฐานที่ค้นพบ ซึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อมีการค้นพบหลักฐานใหม่
ดังนั้นนักเรียนที่ได้รับการฝึกฝนให้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของวิชาประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ควรใจกว้างยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยไม่ยึดติดกับคำอธิบายเดิม ๆ หรือความเชื่อเดิม
หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่นำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้จริง ๆ ไม่เฉพาะอาชีพที่เห็นชัดเจน เช่น ครูอาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่อาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเท่านั้น
อาชีพข้าราชการทั่วไป ชาวบ้านธรรมดา นักเขียน และโดยเฉพาะอาชีพนักการเมือง ก็ต้องใช้ความรู้จากวิชาประวัติศาสตร์ที่ได้รับการฝึกฝนหรือเรียนมาในการประกอบอาชีพหากขาดความรู้ความเข้าใจ ในประวัติศาสตร์แล้ว ย่อมไม่รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ การเรียนประวัติศาสตร์เพื่อให้เข้าใจอดีตว่าเพราะอะไร ทำไมเหตุการณ์แบบนี้จึงเกิดขึ้น จะได้ระมัดระวังป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดในปัจจุบัน หรือไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเกิดซ้ำรอยกับอดีต
ประวัติศาสตร์สอนให้รู้จักทบทวนอดีตอยู่เสมอ เพื่อให้ปัจจุบันมีความมั่นคง และเพื่ออนาคตที่ดีงามยั่งยืน ซึ่งเราจะพบว่าการหยุดชะงักในสังคมไทย โดยเฉพาะการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เป็นเพราะเรา ไม่ค่อยได้นำความรู้วิชาประวัติศาสตร์มาใช้ในชีวิตกันสักเท่าไร ทั้งที่ในความเป็นจริงเราสามารถนำความรู้ด้านประวัติศาสตร์มาใช้ประโยชน์ได้ไม่น้อยกว่าวิชาด้านวิทยาศาสตร์
ในส่วนชาวบ้านควรมีความรู้ความเข้าใจในวิธีการทางประวัติศาสตร์ ให้รู้จักนำเหตุการณ์ที่ผ่านมาวิเคราะห์คน วิเคราะห์นักการเมืองว่าใครเป็นอะไรอย่างไรมา เพราะประวัติศาสตร์สามารถให้ภาพของคนได้ค่อนข้างชัดกว่าการมองคนแค่ในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว หรือมองแค่ภาพลักษณ์ในปัจจุบันว่าพูดเก่ง พูดดี แต่ต้องดูทั้งอดีต ปัจจุบัน เพื่อให้เห็นอนาคตด้วย
วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนไม่น้อย แต่เราจะมีทัศนคติว่าเป็นวิชาที่น่าเบื่อ สอนไม่สนุก จนกระทั่งเกิดข้อเสนอแนะว่าควรหาครูที่สอนสนุก ๆ มาสอนวิชาประวัติศาสตร์
ทำให้เกิดความจำเป็นจะต้องทบทวนว่า เพราะเหตุใดครูที่สอนวิชาประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อยจึงสอนไม่สนุก พลอยทำให้เด็กและผู้คนในสังคมมีทัศนคติต่อวิชานี้ว่าน่าเบื่อ ลำดับแรกต้องโทษหลักสูตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่ผนวกเอาวิชาประวัติศาสตร์ในระดับชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา เป็นเพียงสาระหนึ่งในวิชาสังคมศึกษา ซึ่งนอกจากสาระประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีสาระหน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และพระพุทธศาสนา รวมเป็นหนึ่งวิชา
ดังนั้นไม่ว่าครูผู้สอนจะจบประวัติศาสตร์หรือไม่ ก็ต้องสอนประวัติศาสตร์ หรือครูประวัติศาสตร์เองก็ต้องสอนทั้ง 5 สาระ ทั้งที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญและชอบทั้ง 5 สาระ หลักสูตรที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปทำให้ครูต้องสอนในเรื่องที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ เป็นใช้คนไม่เหมาะกับงาน
ในส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ หากครูผู้สอนไม่ได้ชอบวิชานี้เป็นทุนเดิม ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้โดยตรง อีกทั้งมีทัศนคติว่าวิชานี้น่าเบื่อ ครูเองยังเบื่อ รวมทั้งไม่เข้าใจวิธีการทางประวัติศาสตร์ด้วยแล้ว บรรยากาศการเรียนประวัติศาสตร์ยิ่งน่าเบื่อหนักเข้าไปใหญ่
ประการต่อมา วิชานี้ถูกมองว่าน่าเบื่อ เพราะครูผู้สอนอาจจะไม่ได้รับการฝึกฝนให้มีเทคนิคการสอนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เพราะรัฐไม่เคยให้ความสำคัญกับวิชานี้อยู่แล้ว แต่อาจจะรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเป็นพัก ๆ เมื่อมีคนทักว่าเด็กไทยเริ่มไม่รู้จักประวัติศาสตร์ชาติของตนเองเท่าที่ควร
นอกจากนี้การที่จะทำให้วิชาประวัติศาสตร์ดูน่าสนใจ ต้องแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่นำไปใช้ในชีวิตได้จริง ๆ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
แต่แทบไม่พบการส่งเสริมการจัดอบรมสัมมนา ให้ครูผู้สอนประวัติศาสตร์เข้ารับการอบรมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากสถาบัน หรือวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และเป็นหลักสูตรเข้มข้น สนุกสนาน ให้ครูได้เข้าสู่แวดวงประวัติศาสตร์ รับความรู้ใหม่ ๆ ว่าโลกในปัจจุบันอธิบายเรื่องราวในประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงกันไปถึงไหนแล้ว
ปัญหาของการเรียนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่อยู่ที่ครูสอนไม่สนุก น่าเบื่อ แต่อยู่ที่ทำไมครูถึงสอนไม่สนุก น่าเบื่อ รวมทั้งทัศนคติว่าวิชานี้น่าเบื่อ ไม่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ๆ ทัศนคติ เหล่านี้ก็ย่อมทำให้วิชานี้ ถูกนำไปแอบอิงซุกซ่อนกับวิชาอื่น ๆ ในกลุ่มวิชาสังคมศึกษา รวมทั้งวิชา ประวัติศาสตร์ไม่เคยถูกให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เว้นแต่ความต้องการจะใช้ประวัติศาสตร์ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองบ้างก็เท่านั้นเอง ปรากฏการณ์เหล่านี้ยิ่งทำให้วิชาประวัติศาสตร์น่าเบื่อเข้าไปใหญ่ มิใช่ ?
สวัสดีค่ะ ครูเล็ก
วิชาประวัติศาสตร์ ไม่ได้น่าเบื่อ เด็กที่ไม่ชอบเรียนอาจยังไม่เข้าถึงค่ะ ไม่ใช่ความผิดของครูค่ะ
น่าจะลองพาเด็กไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ศึกษานอกสถานที่ เด็กจะได้ไม่เบื่อค่ะ
หาหนังประวัติศาสตร์
สวัสดีค่ะ
แวะเข้ามาให้กำลังใจในการทำงานค่ะ สู้ ๆ นะค่ะ
วิชาประวัติศาสตร์ทำให้เรารู้ที่มาของประเทศเรา หากเทียบทางธุรกิจข้อมูลย้อนหลังสามารถทำนายแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เช่นกัน
ในความเห็นผมเป็นวิชาที่สนุก แต่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ บางทีคนเหล่านั้นต้องเปลี่ยนมุมมองให้เหมือนกับตัวเองนั่งอ่าน การ์ตูนหรือนิยาย นะ
ขอบคุณที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นนะคะ
ประวัติศาสตร์เป็นจุดกำเนิดทำให้มีปัจจุบันและอนาคต สามารถเรียนรู้นำประสบการณืในอดีตมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประวัติศาสตร์สอนให้เรารักชาติมากขึ้น สอนให้รุ้จักรากเง้าของตัวเอง
ต้องปลูกจิตสำนึกให้เด็กเยอะๆและพาไปสถาที่จริงๆเด็กๆจะได้รักชาติรักแผ่นดินเกิดมากขึ้น
บรรยากาศในชั้นเรียน ถ้าใช้กิจกรรมอื่นๆ ฯลฯ ... หรือใช้การอภิปรายร่วมฯ ในการสอน จะช่วยลดการบรรยายปกติลง น่าจะช่วยให้ผู้เรียนลดความเบื่อลงได้ ครับ
ไม่น่าเบื่อครับ เพราะเเนวประวัติศาสตร์เนี่ย มันมีถึงพันปีหมื่นๆปี เเล้ววิชาประวัติศาสตร์ให้รู้ความรู้ว่า บุคคลที่ทำไมอะไรยังไง บางคนกอบกู้เอกราชบ้าง นำวัฒนธรมอย่างอื่น การปกครองยาวนานอะไรอย่างงี้ ประวัติศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่ฟังเเล้วเข้าใจครับ เเล้วมันไม่เบื่อด้วยครับ ถึงเเม้ ไม่ได้สนุกอะไร เเต่มันก็ทำให้เราได้ความรู้บ้าง ความคิดของผมคือ วิชานี้ถือว่าผมชอบมากๆ