ความรู้ดั้งเดิมที่เคลื่อนตัวอย่างเงียบๆอยู่ในชนบทนั้นมากมายนัก เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร มากไปกว่านั้นหลายคนมองข้ามเลยเสียด้วยซ้ำไป
ยิ่งเดินเข้าชนบทและให้เวลากับเขา นั่งฟังอย่างเคารพ และสนทนาอย่างสุนทรี (อิอิ..) ก็ยิ่งมองเห็นความมหาศาลขององค์ความรู้ที่ไม่จบสิ้น หากเราตั้งหน้าจัดเก็บข้อมูลเข้าระบบ ก็คิดว่าเราจะได้ฐานข้อมูลมหึมานั่นเทียว
เราทราบกันดีว่าเด็กรุ่นใหม่จากชนบทนั้น หันหลังให้กับขุมทรัพย์ของบ้านตัวเองไปสู่ของวิถีในเมือง คนแล้วคนเล่า มิใยจะเงี่ยหูฟัง ลุง ป้า น้า อา ตักเตือน และมิได้สำเหนียกต่อองค์ความรู้ที่ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ได้ปฏิบัติอยู่วันต่อวัน....
ไม้ตะแบก ทุกท่านคงเคยได้ยิน หลายท่านรู้จัก บางท่านรู้ดีอย่างลึกซึ้ง แต่ก็อาจจะมีบางท่านไม่รู้จัก ใคร่ขอแนะนำสั้นๆดังนี้
“ตะแบกเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางและใหญ่ลำต้นสูงประมาณ10-25 เมตรโคนต้นเป็นพูเป็นเหลี่ยมผิวเปลือกมีสีเทาปนน้ำตาลอ่อน ผิวเปลือกค่อนข้างเรียบมีรอยขรุขระเป็นหลุมตื้นๆเกิดสะเก็ดเป็นแผ่นบางๆ มี่เปลือกใบเป็นใบเดี่ยวออกตามกิ่งก้าน ปลายยอดลักษณะใบมนขอบขนาน เนื้อใบหนา ผิวเกลี้ยงเรียบเป็นมัน ขนาดใบกว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10-14 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อยาว ลักษณะดอกมีกลีบรอบดอกเป็นรูปถ้วยเชื่อมติดกับดอก มีกลีบดอกประมาณ 5-7 กลีบ ริมขอบกลีบจะย่นบาง ดอกมีสีม่วงอ่อน ขนาดผลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตรผลเมื่อแก่จะแตกเป็นเสี้ยว 6 เสี้ยวภายในผลมี เมล็ดเล็ก ๆ”
ดอกตะแบก
ชาวบ้านดงหลวงคุยกับผมว่า ต้นไม้ตะแบกนั้น อีสานเรียก ไม้เปือย สะแบกก็เรียก ไทยโซ่เรียก อะลวงสะเรียง เนื้อไม้นิยมทำเรือ เพราะมีน้ำหนักเบา นิยมเอามาทำพื้นบ้าน เพราะโดยธรรมชาติเนื้อไม้ตะแบกมีความลื่นในตัว หากเจ้าของบ้านขัดพื้นบ้านด้วยอะไรก็แล้วแต่ให้มันๆ แล้วเอาเสื่อกกปู แล้วเราเดินไปบนเสื่อนั้น ชาวบ้านดงหลวงบอกว่า มีสิทธิ์ล้มหัวแตกได้ง่ายมากๆ เพราะไม้ตะแบกลื่นมากๆ
โดยธรรมชาติในป่าไม้นั้นต้นตะแบกที่สวยๆหายากเพราะมักจะเป็นโพรง และเป็นที่อยู่ของสัตว์นานาชนิด เช่น เม่น ลิ้น อีเห็น ตัวแลนแม้กระทั่งหอยและแมงโยงโย่ ที่เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อแสนเรียนรู้ธรรมชาติของแมงโยงโย และหอยป่าที่ชอบอยู่โพรงจึงทำโพรงเรียนแบบธรรมชาติ เพื่อให้หอย และแมงโยงโยมาอาศัยอยู่ เมื่อมีมากๆก็แบ่งเอาไปกินเสียบ้าง อิอิ พ่อแสนกะจะไม่ใช้เงินซื้ออาหารเลย พึ่งพิงธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะสวนป่าครอบครัวพ่อแสนนั้นอุดมจริงๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ที่งในองค์ความรู้ของชาวบ้านดงหลวงคือ ไม้ตะแบกเมื่อตายแห้ง มักจะมีเห็ดชนิดหนึ่ง มีสีขาว สีนวล และสีน้ำตาลเกิดขึ้น และมีขนาดตั้งแต่เล็กไปจนขนาดใหญ่ พ่อสัมบูรณ์ ผู้นำไทบรูคนหนึ่งกล่วว่า สมัยอยู่ป่านั้น ทหารป่าที่เขาเวรดูแลพีน้องในค่ายในป่านั้น มักจะเดินหาเห็ดที่เกิดจากขอนไม้ตะแบก แล้วเอาไปตากแดดให้แห้งสนิท เมื่ออยู่ยามกลางคืนก็เอามาจุดไฟ เขาจะไหม้ไฟคล้ายๆธูป ซึ่งค่อยๆไหม้ลามไปเรื่อยๆ ช้าๆ ส่งควันและกลิ่นออกมา ขับไล่ยุงป่าดีแท้ แม้ว่าจะมีกลิ่นเหม็นอยู่บ้าง แต่ก็ทนได้
ถามว่าเห็ดชนิดนี้จะขึ้นกับไม้ป่าชนิดอื่นไหม ชาวบ้านบอกว่า อาจจะมี แต่ไม่เคยเห็นเลย มีแต่เห็ดไม้ตะแบกนี่แหละที่เรารู้จักมานานและใช้กันมาตลอด แต่กินไม่ได้นะครับ...
ผู้นำไทบรูหลายท่านยืนยันความรู้นี้ และต่างก็เคยได้ใช้ประโชน์มาแล้วทั้งสิ้น
แต่หากจะมีเวลามากกว่านี้ ชาวบ้านก็เล่าให้ฟังว่าจะเข้าป่าไปหาไม้ป่าอีกชนิดหนึ่งตือ ตะไคร้ต้น เอาเมล็ดหรือเปลือกตะไคร้ต้นมา ตำ หรือตีให้แหลกแล้วเอามาผสมกับน้ำมันยาง ปั้นให้เป็นคบ เอาจุดไฟ ก็สามารถไล่ยุงได้ดี แถมกลิ่นหอมเหมือนตะไคร้ด้วย ตะไคร้ต้นยังเข้าเครื่องยาสมุนไพรอีกหลายตำหรับอีกด้วย
ดอกตะไคร้ต้นตูม
เรื่องตะไคร้ต้นนี้ก้าวไปไกลมากกว่าตะแบก เพราะคุณสมบัติความหอมของเขานี่แหละ ที่ภาคเหนือจึงมีการนำ ผล เปลือกมาผ่านกระบวนการกลั่นทำน้ำมันหอมระเหย ทำยากันยุงและอื่นๆ มากไปกว่านั้นที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำตะไคร้ต้นมาวิจัยศึกษาคุณสมบัติทางยาต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นแนวทางในการรักษาโรคมะเร็ง อีกด้วยครับ...
ดอกตะไคร้ต้นบาน
นี่เป็นเพียงความรู้นิดหน่อยขององค์ความรู้ทั้งหมดของป่า ที่น้องเม้ง เยอรมันป่าวร้องมานานให้ช่วยกันปลูกป่า ท่านครูบาจับทุกคนที่ไปสวนป่าให้ปลูกต้นไม้
ท่านทราบหรือไม่ว่ายาในปัจจุบันนั้นมากกว่าครึ่งหนึ่งมีที่มาจากป่า
โรคภัยไข้เจ็บที่เรายังรักษาไม่ได้นั้น อาจจะมีตัวยาที่เรายังค้นไม่พบ แต่มีอยู่ในป่า
เรามารักษาป่า ฟื้นฟูป่า ปลูกต้นไม้กันเถอะครับ