หนทางไปสู่ "วัฒนะ"ของชาวไร่ชาวนา
เมื่อตอนเย็นนี้ ได้ดูข่าวจากโทรทัศน์ เกษตรกรญี่ปุ่นขายแตงแคนตาลูพ ได้ลูกละเป็นแสนบาท นัยว่าเป็นการจัดให้มีการซื้อขายเพื่อส่งเสริมให้เกษตรมีกำลังเข้มแข็งที่จะปลูกแคนตาลูพอร่อย ๆให้คนญี่ปุ่นกินต่อไป ก่อนหน้านี้ก็ได้ทราบมาก่อนว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนให้เกษตรกรญี่ปุ่นขายสินค้าในอัตราสูง เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตทัดบ่าเทียมไหล่กับอาชีพอื่น ๆ
ในบ้านเรา คงไม่มีเศรษฐี หรือรัฐบาลใดมีน้ำใจถึงเพียงนี้
หนทางของความวัฒนาของการทำมาหากินของชาวไร่ชาวนา จึงน่าจะเกิดจากหนึ่งสมองและสองมือของชาวไร่ชาวนาที่จะช่วยกันสรรค์สร้าง
นับว่าเป็นบุญของชาวไร่ชาวนาไทย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงเห็นทุกข์ของพวกเขาและได้ทรงพระราชทาน "หนทางแห่งความวัฒนะ" ในการทำมาหากินให้ ในชื่อของเกษตรทฤษฎีใหม่ พระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่ในส่วนที่เห็นชัดเจนว่า พระองค์ได้ทรงพระราชทาน "หนทางแห่งความวัฒนะ" ให้แก่ชาวไร่ชาวนาก็คือ การพัฒนา 3 ขั้นตอนของการทำเกษตร ได้แก่
ขั้นตอนที่ 1 เป็นแนวทางการจัดการพื้นที่เกษตรกรรมในระดับครอบรัว ที่สอดคล้องสมดุลกับระบบนิเวศวิทยา เพื่อให้พออยู่พอกินสมควรแก่อัตตภาพในระดับที่ประหยัดและเลี้ยงตนเอง หรือครอบครัวได้
ขั้นตอนที่ 2 การวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ ร่วมมือกันในการผลิต จัดการตลาด และพัฒนาสวัสดิการของชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นการสร้างความสามัคคีภายในท้องถิ่นและเตรียมความพร้อม ก่อนก้าวสู่โลกภายนอก
ขั้นตอนที่ 3 ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานภายนอกเพื่อจัดหาทุน วิชาการ
ความรู้ เทคโนโลยี่ จากธุรกิจเอกชน เช่น ธนาคาร บริษัท ห้างร้าน เอกชน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ มูลนิธิต่าง ๆ มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต
สามขั้นตอนนี้มีคนเอามาพูดให้สั้น ๆว่า
"พึ่งตนเอง-รวมกลุ่ม-ลุยส่งออก"
ผมเห็นว่า นี่คือหนทางแห่งความวัฒนะของชาวไร่ชาวนาไทย
เป็นหนทางที่สามารถสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของชาวไร่ชาวนาเอง
เป็นหนทางที่ไม่ต้องรอสติปัญญาและเมตตาของรัฐ ของพ่อค้า และใคร ๆ
เป็นหนทางที่มีศักดิ์ศรี เสริมสร้างความเป็นมนุษย์ทั้งในระดับบุคคล และชุมชน ตลอดทั้ง ชาติ บ้านเมืองและ(มนุษย)โลก
จะเห็นว่าในหลวง พระองค์ท่านทรงจินตนาการไปไกล ในจินตนาการของพระองค์ ชาวนาไทยไม่ได้จมปลักอยู่กับไร่กับนาเท่านั้น พระองค์ทรงเห็นภาพชาวไร่ชาวนาไทย go inter ด้วย ซึ่งหมายถึง การซื้อการขาย ข้าว พืชผลทางการเกษตร และข้าวของอื่น ๆจะอยู่ในมือของชาวนา และนอกจากนั้นชาวนาไทยสามารถสร้างสัมพันธภาพในด้านอื่น ๆในฐานะมนุษย์กับ บุคคล กลุ่ม องค์กร และสถาบัน
ต่าง ๆในนานาอารยะประเทศด้วย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ชาวไร่ชาวนาจะเข้าไปเบียดกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ และนายทุนที่ประกอบการ หรือที่ทำมาหากินอยู่กับ การผลิต การซื้อขาย การแปรรูป ผลิตผลของชาวไร่ชาวนาออกไป แต่น่าจะอยู่ในลักษณะของการร่วมมือกัน
การผลิตทางการเกษตร ตัวอย่างเช่นเรื่องข้าว ควรเป็นกระบวนการที่ครบวงจร และวงจรนี้จะต้องอยู่ในมือของเกษตรกร ซึ่งอาจมีกลุ่มอื่น ๆเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ด้วยก็ได้ ซึ่งน่าจะอยู่ในรูปของภาคีเครือข่ายที่ต่างก็มีความทัดเทียมกัน
หลายคนคงรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
หลายคนคงเห็นว่านี่มันเป็นฝันท่ามกลางแสงแดดจ้า แท้ ๆ
ขอเรียนว่า ความเป็นไปได้อยู่ที่ความชาญฉลาดของคนทำ สิ่งที่มันทวนกับกระแสหลักย่อมทำได้ยาก ต้องใช้สติปัญญา ต้องใช้ความพยายามสูง แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้
ปัจจุบันมีความพยายามอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น ที่สุพรรณฯ ที่พิจิตร ที่บุรีรัมย์ เป็นต้น
และในพื้นที่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ( สำนักงาน กปร.)ได้มีความพยายามที่จะพัฒนาตามแนวทางดังกล่าวนี้ เพื่อแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เป็นแนวทางสำหรับเกษตรกร ดังที่นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี กล่าวว่า "ทิศทางของโครงการพระราชดำริในอนาคตนั้น คาดว่ามุ่งเน้นศึกษาการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ทฤษฎีใหม่แบบบันได 3 ขั้น คือ ขั้นแรก สอนให้คนรู้จักการพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด ขั้นที่สอง เรียนรู้การรวมกลุ่มไม่ว่าจะเป็นสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน เพื่อจำหน่ายผลผลิต ขั้นที่สาม ประสานความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์สำหรับช่วยกลุ่มเกษตรกรสำหรับภาคการส่งออก" (คม ชัด ลึก , 13 สิงหาคม 2007)
เป็นที่มั่นใจได้ว่า แนวพระราชดำริของในหลวงเป็นแนวทางแห่งความ "วัฒนะ"ของชาวไร่ชาวนา เป็นแนวทางที่ท้าทาย เป็นแนวทางที่องคมนตรี และพสกนิกรหลายกลุ่มพยายามจะพิสูจน์ให้เห็นจริง
ปัญหาอยู่ที่ ใคร ที่ไหน ทำอย่างไร
ผมเห็นว่าเครื่องมือขับเคลื่อน "ทฤษฎีใหม่แบบบันได 3 ขั้น " คือการศึกษา แต่เป็นการศึกษาที่แตกต่างไปจากการศึกษาในปัจจุบัน การศึกษาในระบบโรงเรียนต้องเปลี่ยน และไม่เฉพาะการศึกษาในระบบโรงเรียนเพียงอย่างเดียว การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาในบ้าน การศึกษาในชุมชน และการศึกษาที่ผ่านสื่อมวลชน จะต้องเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญคือ ชาวไร่ชาวนาจะต้องรักที่จะเรียนรู้ และรู้วิธีที่จะเรียน
สองประการนี่แหละคือ จุดเริ่มต้น หนทางและเป้าหมาย ของ "วัฒนะ" ที่แท้จริง
Paaoobtong
paaoobtong
18/05/52
9:05