ดินทอง
นพวัชร เคี้ยง จิรวัฒน์วณิชย์

@กาลก่อน +ถึง+ กาลปัจจุบัน


“สรรพสิ่งผ่านมา..ให้พวกเราพ้นไป..ปล่อยวางหรือเก็บเกี่ยว ทุกอย่างเป็นอย่างรวดเร็ว...สู้อดทนฝึกจิตตนเอง..เพื่อหยุดยั้งหรือคัดสรรสบายๆ เหมือนพักผ่อน...หย่อนใจได้เป็นสุขจริง...ให้ประจักษ์ภายในว่า..เพียรเท่านั้น เพียรอย่างกล้าแกร่ง...สู่จิตที่ผ่องใส...รู้จักรู้หลักชัย...จงตั้งมั่นในภายใน...พลังใจแกร่งรอดพ้นทุกข์ได้เอย”

         วันวิสาขบูชา เป็นวันที่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ซึ่งเกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน คือ ในวันเพ็ญ(ขึ้น ๑๕ ค่ำ) เดือนหก หรือเดือนเวสาขะ พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว ในห้วงระยะเวลาที่ต่างกันคือ 

        ครั้งแรก เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ โอรสพระเจ้าสุทโธธนะ และ พระนาง สิริมหามายา แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ โดยประสูติที่ป่าลุมพินีวัน ณ เขตแดนรอยต่อระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ของฝ่ายพระราชบิดากับกรุงเทวทหะของฝ่ายพระราชมารดา

        ครั้งที่สอง เกิดเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ออกทรงผนวชได้ ๖ ปี พระชนมายุ ๓๕ พรรษา ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ริ่มฝั่งแม่น้ำเนรัญชราประเทศมคธปัจจุบันคือที่ตั้งพุทธคยา



        ครั้งที่สาม เกิดเมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธรินิพพาน เมื่อ
พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ณ เมืองกุสินารา
 
        เหตุการณ์สำคัญทั้งสามประการนี้ เกิดขึ้นในวันและเดือนเดียวกัน ทางจันทรคติ ซึ่งนับวันขึ้นแรม ตามวิถีการโคจรของดวงจันทร์ เป็นหลักในการกำหนดวัน เดือน และปีซึ่งยังคงใช้กันมาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ควบคู่กันไปกับการกำหนดวัน เดือน และปีทางสุริยคติ ซึ่งเป็นไปตามวิถีการโคจรของดวงอาทิตย์ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ ซึ่งยังไม่เคยมีการประจวบกันเช่นนี้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดมาก่อนจนตราบเท่าปัจจุบันแต่ความอัศจรรย์ดังกล่าว ก็ยังไม่เทียบเท่ากับการอุบัติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก และได้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาเพื่ออนุเคราะห์โลกให้เกิดประโยชน์สุขแก่มนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งมวล 
วันวิสาขบูชาจึงนับว่าเป็นวันสำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นวันที่ก่อให้เกิดพระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้พระธรรมและนำมาสั่งสอนแก่สรรพสัตว์ และพระสงฆ์สาวกผู้สืบพระศาสนาต่อมาจนถึงปัจจุบัน

       ในวันนี้พุทธศาสนิกชนต่างพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการไปชุมนุมตามพระอารามต่าง ๆ เพื่อกระทำการบูชาปูชนียวัตถุอันได้แก่ พระธาตุเจดีย์หรือพระพุทธปฏิมา ที่เป็นพระประธานในพระอุโบสถอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยเครื่องบูชามีดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เริ่มด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ด้วยบทสวดมนตร์ตามลำดับดังนี้คือ 


บทสรรเสริญ พระพุทธคุณ ด้วยบท " อิติปิโสภควา อรหังสัมมาสัมพุทโธ...พุทโธภควาติ "
บทสรรเสริญ พระธรรมคุณ ด้วยบท " สวากขาโต ภควตาธัมโม...วิญญูหิติ "
บทสรรเสริญ พระสังฆคุณ ด้วยบท " สุปฏิปันโน ภควโตสาวกสังโฆ...โลกัสสาติ " 

         จากนั้นก็จะกระทำ ประทักษิณ หรือที่เรียกว่า เวียนเทียน รอบพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธปฎิมาในพระอุโบสถ ด้วยการเดินเวียนขวาสามรอบ รอบแรกจะสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ รอบที่สองจะสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ และรอบที่สามสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ เมื่อครบ ๓ รอบแล้วจึงนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระธาตุเจดีย์ หรือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ ณ ที่บูชาอันควรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียนจากนั้นก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ซึ่งปกติจะมีเทศน์ ปฐมสมโพธิ ซึ่งเป็นเรื่องพระพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พิธีเริ่มตั้งแต่ประชุมฟังพระทำวัตรสวดมนต์ แล้วจึงฟังเทศน์ซึ่งจะมีไปตลอดรุ่ง วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่พุทธศาสนิกชน ได้บำเพ็ญประโยชน์ตน และสืบต่อพระพุทธศาสนา ให้ดำรงคงอยู่อย่างถูกต้องตรงทาง เพื่อประโยชน์สุขของตนและของผู้อื่นตลอดชั่วกาลนาน 

       ที่เราเรียกว่าวันวิสาขบูชานั้น เพราะเป็นวันตรงกับวันเพ็ญ (วันกลางเดือนพระจันทร์เต็มดวง) เดือนวิสาขบูชาซึ่งตรงกับเดือน ๖ ของไทย วันกลางเดือน ๖ เป็นวันที่พระจันทร์เสวยวิสาขฤกษ์ ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันเพ็ญ (วันกลางเดือน) เดือน ๗

      วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายถือเอาความอัศจรรย์ ๓ ประการที่เกิดขึ้นในวาระเดียวกัน แต่ละประการได้เกิดขึ้นในโอกาสต่างกัน เป็นหลักการใหญ่เมื่อวันเช่นนี้เวียนมาถึงรอบปี พุทธศาสนิกชนจึงประกอบพิธีสักการะบูชาเป็นการยิ่งใหญ่ ความอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการที่เกิดในวันวิสาขบูชา ได้แก่  

       ๑. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าพระมหาบุรุษของโลก ทรงเป็นเอกอัครบุรุษประสูติมาในโลกเพื่อบำเพ็ญประโยชน์สุขและเกื้อกูลแก่ปวงชนเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าประสูติมาเป็นแสงสว่างเป็นดวงประทีปของโลก ในทางเผยแผ่สัจธรรมเพื่อความสงบร่มเย็นของชาวโลก พระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมาเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกเพื่อบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลและความสุขสงบของเทวดาและมนุษย์ทั่วไป อันมีประวัติว่า 

       เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วันก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ"

      ๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการของพระพุทธเจ้าเป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ (เจ้า) อันมีประวัติว่าพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ... 
       ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ " คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น 
       ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ " คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย 
       ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ ๔ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค )ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา 

        ๓. วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีปของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลดเสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น

       พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด " หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น 

พุทธกิจ ๕ ประการ 

      1. ตอนเช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ คือเสด็จไปโปรดจริงเพราะทรงพิจารณาเห็นตอนจวนสว่างแล้ว่าวันนี้มีใครบ้างที่ควรไปโปรดทรงสนทนา
หรือแสดงธรรมให้ละความเห็นผิดบ้าง ทรงส่งเสริมผู้ปฏิบัติชอบอยู่แล้วให้ปฏิเสธชอบบ้าง เป็นต้น 
      ๒. ตอนบ่าย ทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนที่มาเฝ้า ณ ที่ประทับ ซึ่งปรากฏว่าไม่วาพระองค์จะประทับอยู่ที่ใด ประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าตลอดถึง
ผู้ปกครอง นครแคว้นจะชวนกันมาเฝ้าเพื่อสดับตับพระธรรมเทศนาทุกวันมิได้ขาด 
      ๓. ตอนเย็น ทรงเเสดงโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งมวลที่อยู่ประจำ ณสถานที่นั้นบางวันก็มีภิกษุจากที่อื่นมาสมทบด้วยเป็นจำนวนมาก 
      ๔. ตอนเที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาหรือตอบปัญหาเทวดา หมายถึง เทพพวกต่าง ๆ หรือกษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพผู้สงสัยในปัญหาและปัญหาธรรม 
      ๕. ตอนเช้ามืด จนสว่างทรงพิจารณาสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยที่พระองค์จะเสด็จไปโปรดได้แล้วเสด็จไปโปรดโดยการไปบิณฑบาตดังกล่าวแล้วในข้อ ๑โดยนัยดังกล่าวมานี้พระพุทธองค์ทรงมีเวลาว่าอยู่เพียงเล็กน้อยตอนเช้าหลังเสวยอาหารเช้าแล้วแต่ก็เป็นเวลาที่ต้องทรงต้อนรับอาคันตุกะ ผู้มาเยือนอยู่เนือง ๆ เสวยน้อย บรรทมน้อย แต่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจมาก ตลอดเวลา ๔๕ พรรษานั้นเองประชาชนชาวโลกระลึกถึงพระคุณของพระองค์ดังกล่าวมาโดยย่อนี้ จึงถือเอาวันประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระองค์เป็นวันสำคัญ จัดพิธีวิสาขบูชาขึ้นในทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา 

ธรรมเนียมการปฏิบัติในวันวิสาขบูชา  
        เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงในรอบปี พุทธศาสนาชนไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต (พระสงฆ์ สามเณร) หรือ ฆราวาส (ผู้ครองเรือน) ทั่วไป จะร่วมกันประกอบพิธีเป็นการพิเศษทำการสักการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณา พระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณ ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นดวงประทีปโลก เมื่อวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงในวันเดียวกันได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือ เวียนมาบรรจบในวันเพ็ญวิสาขบูชา กลางเดือน 6 ประมาณเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายนของไทยเรา ชาวพุทธทั่วโลกจึงประกอบพิธีสักการบูชา การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา แบ่งออกเป็น ๓ พิธี คือ 
            ๑.พิธีหลวง (พระราชพิธี) 
            ๒. พิธีราษฎร์ (พิธีของประชาชนทั่วไป) 
            ๓. พิธีของพระสงฆ์ (คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้) 

การประกอบพิธีและบทสวดมนต์ในวันวิสาขบูชา ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกอบพิธีในวันมาฆบูชา 

--------------------------------------------------------------------------------

บรรณานุกรม 
๑. จ. เปรียญ. ประเพณีและพิธีมงคลไทย. ธรรมบรรณาคาร. ๒๕๑๘ กรุงเทพ ฯ.
๒. สมปราชญ์ อัมมะพันธ์. ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดี. โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮ้า.๒๕๓๖ กรุงเทพ ฯ.
๓. สุเมธ เมธาวิทยกุล. สังกัปพิธีกรรม. พริ้นติ้ง เฮ้า. ๒๕๓๒ . กรุงเทพ ฯ.
๔. แสงฉาย อนงคาราม. อานิสงค์จากพระไตรปิฎก. ส. ธรรมภักดี. กรุงเทพ ฯ.
๕. ประพันธ์ กุลวินิจฉัย เทศกาลและพิธีกรรมทางพุทธศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ ม.มจร กรุงเทพ ฯ.


http://www.geocities.com/sakyaputto/wisakhaday.htm

http://www.phutti.net/visaka/index.html

            

      สมัยพระพุทธเจ้า...ตรัสรู้..ปรินิพพาน...พระองค์เผยแผ่หลักธรรมคำสอน...และปฏิบัติธรรมกัน...เพื่อทุกท่านได้มีสิ่งที่ยึดแน่วจิตใจภายใน...พระพุทธองค์ทรงรู้ว่า... คนเราจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และได้ค้นพบทางที่ไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย....แถมชี้ทางให้พวกเราได้เดินตามพระองค์....ให้ดำเนินชีวิตอย่างปกติ....ตามหน้าที่ของแต่ละท่าน...ทำไป...อย่างปกติ...สะดวก และปลอดภัย... แต่ย้ำไม่ให้ทิ้งข้างใน...ให้บำเพ็ญเพียรไว้ตลอด

             จุดนี้เป็นจุดสำคัญ...การตรัสรู้...ตรัสรู้ด้วยภายในจิต...ไม่ใช่ตรัสรู้ข้างนอก...ให้ปฏิบัติรู้แจ้งเห็นจริงที่ภายใน ...เข้าสู่ฌาน ๔.... เมื่อนิ่ง จิตสงบอยู่ น้อมจิตไป ระลึกไป จึงได้รู้การสร้างบารมี....เกิดแล้ว...เกิดอีกหลายภพ... นานแสนนาน.... เก็บประสบการณ์ไว้ เต็มที่แล้ว... พระองค์ค้นพบว่า.... อะไรเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง

               เมื่อพระองค์ย้อนระลึกไปได้แล้ว....ก็รู้ว่าไม่วันจบจริงๆ.... เกิดเป็นเทวดา ...เพราะสร้างบารมีมา.... ทำความดีต่างๆ....ก็เป็นพระพรหม...น้อมจิตช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์...ใครทำความดีก็ยินดี... แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็รู้ว่า...เป็นไปตามกรรมของผู้นั้น...เป็นมนุษย์...เพราะมีศีลรักษาไว้ ลงนรก...เพราะไปทำบาปกรรมไม่รู้ตัว ไม่มีใครชี้ทางออก ...จึงรู้ว่ากรรมนี้ครอบงำทั้ง ๓ โลก... ไม่มีใครออกจากพลังงานนี้ไปได้เลย... กรรมนี้มันจะโยงใย...สรรพสัตว์ที่ไม่มีวันหลุด...ออกไปได้เลย

              พระองค์กลับเข้ามาข้างใน ก็รู้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะมีการเกิด... ที่เกิดมาเพราะอะไร... เพราะมีภพ ...มีชาติมาเกิด... มีที่เกิดเพราะอะไร... เพราะยึดมั่น ...ก็เลยผูกพันอยู่ข้างใน... หาทางออกไม่ได้... ความยึดมั่นมาจากอะไร ...เพราะดิ้นรน... ดิ้นรนเพราะอะไร... เพราะเพลิดเพลิน... ดิ้นรนเพราะจากเกิดการกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดูไปเรื่อยๆ เพราะอะไร ...เพราะมีกระแสวิญญาณเคลื่อนมา จรเข้ามา... กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...เพลิดเพลิน ดิ้นรน ยึดถือ ...จึงเกิดอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น มองไป..สาวเข้าไปอีก... เกิดจากอะไร... เกิดจากความคิดที่ไปปรุงแต่งนั่นเอง... เพราะความไม่รู้...อะไรที่มาบังจิต...เหมือนความมืดมาบังไว้...เมฆหมอกดำ...มาบังจิต....ที่ดั้งเดิม...ผ่องใสอยู่.... เมื่อถูกบังอยู่....จึงไม่สามารถหาทางออกได้ ....แล้วทำอย่างไร...จึงหาทางออกได้ในที่สุด

             ทุกข์นี้มีแต่ไม่ได้ให้สู้กับมัน หรือหนีมันไป.. แต่ให้กำหนดรู้... ให้รู้จักมัน ....แล้วคำว่า เกิดทุกข์คืออะไร... คือ ความเพลิดเพลินที่เราไปติดมัน... ให้ละมันสัก... พอเราไม่ไปเพลิดเพลินกับมัน ...กลับเข้ามาไว้ข้างใน... ตัวเพลิดเพลินนั้น...มันก็ดับ... ละเหตุให้เกิดทุกข์ ...พอตัวเพลิดเพลินนี้ดับ ...นิโรธทั้งหลายก็ดับ

             พระองค์กลับเข้ามาข้างใน ...เห็นขันธ์ ๕ ดับข้างใน... เห็นการเกิดดับภายใน ...นี่เรียกว่า การเจริญอริยสัจ ๔ ...เห็นความจริงจากข้างใน ...รู้สึกไปเรื่อยๆ ...เห็นการเกิดดับๆ ที่สุด.... พระองค์ก็หลุดพ้นจากพลังงานแห่งกรรมทั้งปวง... ร่างกายนี้ก็ยังเป็นไปตามกรรมอยู่ ...แต่ดวงจิตนี้หลุดออกจากกรรมทั้งหมดแล้ว... เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่ใช่ของเรา ...จึงไม่ยึดติด... เมื่อไม่ยึดติด... กรรมทั้งหลายที่จะให้ยึดติด ...จึงไม่มี ...แต่กรรมเก่าด้วยกายนี้ ...ยังมีอยู่... ลมหายใจยังมีอยู่ ...ยังไม่หยุดหายใจ ...

           ฉะนั้นพระพุทธองค์ เมื่อหลุดพ้น จึงได้นามว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้ไม่มีกิเลส ตรัสชอบได้ด้วยพระองค์เอง รู้แจ้งเห็นจริง หลุดจากบ่วงกรรมแล้ว ไม่ต้องเกิดอีกแล้ว”

            ทั้งหมดเป็นความจริงแห่งชีวิต... ที่มีอยู่จิตใจของทุกท่าน... ฉะนั้นทุกท่านจะเป็นใครก็ตาม... สามารถทำตามได้ ...เพราะทุกคนมีดวงจิตเหมือนกัน... วิธีการทำ คือให้ทุกท่านกลับเข้าสู่จิตภายใน... ที่กลางหน้าอก... วิธีการจะหลากหลายก็ตาม ...เป้าหมายคือให้สงบ นิ่ง เมื่อนิ่ง สมาธิเกิดขึ้นแล้ว...ในความนิ่งจะเห็นชัดขึ้น... เมื่อนิ่งน้อมจิตภายใน... จะเห็นการไม่เที่ยงของขันธ์ ๕

            ฉะนั้นการที่เราคุมวิญญาณทั้ง ๖ ห้องแห่งใจ ...จะเห็นการเกิดดับๆ ...อาการที่มันเกิดดับของขันธ์๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้อาศัย ศีล สมาธิ และปัญญา ...เห็นการเกิดดับ ทุกขณะ.. ก็จะเข้าสู่ความว่าง... ตามความเป็นจริง

            ทุกท่านกลับเข้ามาสู่จิตภายใน ...ความคิดไม่ดี น้อยใจ เสียใจต่างๆ เป็นโปรแกรมลบ ...เราไม่เอาจิตที่ผ่องใส...เข้าไปเชื่อม... ให้ละทิ้งไป

             ส่วนความคิดดีๆ การนิ่ง การสร้างกุศลต่างๆ ที่เป็นโปรแกรมบวก เราไปเชื่อมได้ ใช้ได้ คือโยนิโสมนะสิการ ทำในใจให้แหย้มคลาย ...แล้วกลับมาที่ข้างใน ...กลางหน้าอก รู้สึกภายใน เกิดดับตลอดเวลา ...รักษาไว้นี่เรียกว่า เราเจริญอริยมรรค ทำดวงจิตให้ผ่องใสตลอด และที่สุด ...ดวงจิตก็หลุดจากความชอบ และความชัง ไม่ดีต่างๆ จากหลุดพ้น....เพราะความคิดดี,ไม่ดีนี่เป็นของเรา เห็นแจ้งมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นแล้ว เห็นอย่างนี้..ตลอดเวลารู้สึกอยู่..ภายในก็ดับเป็นธรรมดา...อาศัยดวงจิตเกิดขึ้น...แล้วที่สุดดวงจิตนี้เหมือน..."แพข้ามฝั่งพอถึงฝั่งแล้ว...มันปล่อยตัวมันเอง"

           ฉะนั้นทุกท่านทั้งหลาย.. ปฏิบัติบูชา.. ดูจิต.. ฝึกจิต... รู้สึกข้างในไว้ตลอด ...เป็นการสร้างบารมีอันสูงสุด... เพื่อที่จะได้แผ่เมตตาถวายแด่หลวงในของพวกเรา ครองแผ่นดินโดยธรรมอย่างสมบูรณ์

           ความคิดดีใช้ได้ ...ความคิดไม่ดีให้ทิ้งไป ...เมื่อดูจิตต่อเนื่อง... จะรู้เองทั้งดีและไม่ดี ...ไม่ไปยึดมั่น ไม่ไปหมายมั่น...สันทิฐิโก...รู้แล้วเห็นเอง...ในภายใน...รักษาจิต ประคองไว้ตลอด...ทุกท่านปฏิบัติเอง..รู้เอง..เห็นเอง..แจ้งเอง..ดับได้เอง.

 

Be Happy..DinTong!

 

หมายเลขบันทึก: 182440เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2008 13:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท