บันทึกเขียนนี้ไว้หลายวันแต่ไม่ได้นำขึ้นเสนอ เป็นบันทึกจากที่ได้ติดตามโครงการภายใต้ยุทธศาตร์อยู่ดีมีสุข ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับผู้นำชุมชน และพบข้อสังเกตุที่เห็นว่าควรจะให้ข้อคิดแก่ผู้นำ เนื่องจากผมได้รับมอบจากทีมที่ออกเดินทางไปด้วยกันว่ายกให้คุยกับผู้นำชุมชน
ก็นำประสบการณ์ที่มีให้ผู้นำเป็นข้อคิดและวิเคราะห์ย้อนหลังพิจารณาในกิจกรรมที่กำลังดำเนินการแก้ไขเสียก่อนที่ยังไม่สาย โดยในบางส่วนของการบริหารจัดการขององค์กรชุมชนถ้าพลาดถึงกับทำให้ชุมชนเสียขวัญ ผมอาจใช้คำที่หนักไปหน่อย แต่ว่าเรื่องนี้เป็นจริงถ้าหากเขาขาดศรัทธาในตัวผู้นำว่าทำทุกครั้งพังทุกครั้ง แล้วครั้งต่อไปความมั่นใจไม่มี ความร่วมมือก็น้อยลง
วันที่ 14 พฤษภาคม 2551 เดินทางไปเยี่ยมติดตามโครงการ ณ อำเภอเชียรใหญ่ ตั้งแต่เช้าถึงอำเภอได้การต้อนรับจากเจ้าหน้าที่ของอำเภอ และท่านก็เล่าที่ไปที่มาพอคร่าว ๆ แล้วก็วางแผนเดินทางเยี่ยมกลุ่มต่าง ๆ กัน
๐ กลุ่มส่งเสริมการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมือง
เป็นกลุ่มที่ผมได้รับมอบหมายจากท่านพัฒนาการจังหวัดหัวหน้าชุดที่ไปด้วยกันว่า เป็นกลุ่มอาชีพเกษตรขอให้ช่วยดูแลเป็นพิเศษ เพราะตรงกับงานว่าอย่างนั้นครับ
กลุ่มนี้อยู่บ้านคลองแดน หมู่ที่ 10 ตำบลเชียรใหญ่ อำเภอก็เชียรใหญ่ครับ
การบริหารของกลุ่มได้วางระเบียบกลุ่มได้ โดยมีกระบวนการคือ คณะกรรมการบริหารยกร่างข้อบังคับกลุ่มก่อน แล้วนำเข้าผ่านการรับรองของที่ประชุมใหญ่ของกลุ่มหรือแสดงประชามติในกลุ่ม ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีชุดคณะกรรมการเข้มแข็งและเสียสละทำงานเพื่อชุมชนอย่างดียิ่งกลุ่มหนึ่ง มีรายงานการประชุมแสดงให้ตรวจสอบได้ มีการประชุมทำข้อตกลงไว้ในหลายกิจกรรมโดยเฉพาะทำข้อตกลงเรื่องการจัดหาพันธุ์ข้าวปลูก(พันธุ์ข้าวสังข์หยด) ซึ่งได้มีการบันทึกรายงานการประชุม
ผมได้สอบถามข้อมูลเรื่องการบริหารในส่วนของความยั่งยืนของโครงการว่าทำอย่างไรให้งบประมาณที่ได้ไปส่วนหนึ่งที่ราชการสนับสนุนไปสามารถอยู่ยั่งยืนได้กับชุมชน ทางประธานกลุ่มและผู้ใหญ่บ้านก็เล่าไปให้ฟังในหลาย ๆ ด้านผมก็วิเคราะห์จับประเด็นตามไปเรื่อย ๆ มีส่วนที่ผมจำเป็นต้องให้ประธานกลุ่มและผู้ใหญ่บ้านทบทวนและกลุ่มควรปรับปรุงข้อตกลงในการบริหารคือ
- กลุ่มได้ตกลงกันว่า เมื่อสมาชิกลุ่มยืมพันธุ์ข้าวปลูกไปปลูกและได้ผลผลิตเมื่อครบตามช่วงอายุฤดูกาลแล้ว ให้สมาชิกนำผลผลิตมาคืนให้กับกลุ่ม ในอัตรา ยืม 5 ถัง คืนให้ 6 ถัง หลังจากนั้นกลุ่มจะรวบรวมพันธุ์ข้าวเก็บไว้ให้ยืมต่อในฤดูกาลถัดไป
ปัญหาที่ผมทำนายว่ากลุ่มนี้จะพบในโอกาสต่อไป
1. การเก็บรวบรวมพันธุ์ข้าวจำนวนมาก ๆ จากสมาชิกหลาย ๆ คน กลุ่มคงไม่สามารถจัดการกับความชื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ พันธุ์ข้าวอาจจะไม่งอกในฤดูกาลถัดไป ผู้ที่ต้องรับหน้ากับสมาชิก คือกรรมการบริหาร
2. สถานที่เก็บพันธุ์ข้าวเป็นจำนวนมาก ๆ คงทำได้ยากในชนบทหากจัดการได้ไม่ดีข้าวจะเสียหายจากศัตรูแมลง และน้ำฝน กลุ่มมีอัตราสี่ยงสูงในเรื่องนี้ และเป็นเหตุให้เปอร์เซ็นความงอกต่ำ
3. ความสูญเสียจากเมล็ดพันธุ์ เช่น สูญหายตกหล่น สัตว์เลี้ยงกิน ซึ่งเป็นภาระที่คณะกรรมการบริหารกลุ่มต้องดูแล จะทำให้ภาระมีมากขึ้น เกิดความขัดแย้งในกลุ่มได้ง่าย ๆ
4. เมล็ดพันธุ์ที่เก็บมาทำพันธุ์หากจัดการไม่ดี หรือไม่ได้ทำตามขั้นตอนทางวิชาการแล้วจะให้ผลผลิตต่ำ
จำเป็นที่ต้องแนะนำหน่อยเพื่อให้คิดทบทวนคือ......
คือเมื่อกลุ่มรวบรวมผลผลิตข้าวที่กลุ่มมองว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่จะใช้ในฤดูกาลถัดไปนั้น กลุ่มควรจะขายข้าวจำนวนนั้นไปเป็นข้าวสำหรับบริโภค และเก็บเงินเป็นทุนของกลุ่ม แล้วค่อยจัดหาพันธุ์ข้าวใหม่จากที่ทางราชการผลิตไว้บริการเกษตรกรเมื่อใกล้ถึงฤดูกาลถัดไป จะช่วยลดความเสี่ยงในหลาย ๆ ด้าน เช่น เปอร์เซ็นต์ความงอก ภาระของคณะกรรมการบริหารกลุ่มที่ถ้าดำเนินการตามที่วางไว้มีภาระที่ต้องรับผิดชอบมาก ไหนจะต้องทำงานส่วนตัว และงานส่วนรวมก็จะสร้างความหนักใจให้กับครอบครัวอีก ค่าใช่จ่ายที่กลุ่มต้องจ่ายเป็นค่าเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าว และลดความเสี่ยงในเรื่องสังคม ปมเล็ก ๆ ในกลุ่มป็นบ่อเกิดแห่งการเกิดความขัดแย้งความไม่เข้าใจกันในกลุ่มได้ไม่ยากนัก แต่เมื่อเราจัดการก่อนเมื่อเจอก่อนก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
ไม่มีความเห็น