นับตั้งแต่วันที่พระสิทธัตถะประสูติจนถึงวันตรัสรู้ มีเรื่องราวเพียงน้อยนิดที่ใช้สอนและขยายความพระสูตร อันที่จริงพุทธประวัติตอนนี้เป็นเพียงเกริ่น ๆ ไว้และให้พิจารณาเพียงเล็กน้อยในฐานะเป็นอารัมภบทสู่หลักคำสอนเท่านั้น
ผู้เขียนได้ไตร่ตรองถึงเรื่องราวตอนนี้ โดยบรรยายถึงและนำสู่การตีความเนื้อหา เพื่อใช้ในฐานะเป็นเครื่องมือให้เข้าถึงแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้า
เมื่อครั้งพระองค์ทรงพระเยาว์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงสมบูรณ์ด้วยสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรงประสงค์ ทรงมีนางสนมมากมายคอยรับใช้ดูแล ในด้านการศึกษาของพระองค์ ครูถูกสรรหามาถวายความรู้แด่พระองค์เป็นพิเศษในแต่ละศาสตร์ ทรงชำนาญเป็นอย่างดีในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภารกิจทั้งสิ้นของพระองค์ เรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกในการสงครามของพระองค์ ถูกดำเนินการโดยเหล่าทหารในกองทัพของพระราชบิดา ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย แม้ในเวลาที่ทรงเป็นพระกุมาร พระองค์ทรงมีพระสหายมากมายแวดล้อมพระองค์ เป็นธรรมดาอยู่เองในแต่ละวันพระองค์ทรงได้รับการคุ้มกันดูแลเป็นอย่างดีโดยเหล่าราชบุรุษ (ทหารหลวง) พระกระยาหารอย่างดี เครื่องทรงทำด้วยผ้าแพรไหมชั้นเลิศมีอยู่ตามปกติ ทรงมีม้าพระที่นั่งที่พิเศษในตอนที่ทรงเป็นหนุ่ม ดุจเดียวกันกับเด็กผู้มั่งคั่งทั้งหลาย สิ่งหรูหราที่ถูกต้องได้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อพระองค์ โดยพระราชบิดาของพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระราชา ไม่มีสิ่งใด ๆ บั่นทอนความอุดมสมบูรณ์เลย ทุกสิ่งมีอยู่อย่างครบครัน พระชนม์ชีพของพระองค์เป็นสิ่งที่ได้รับการทะนุถนอมอย่างดี พระราชบิดาได้ทรงจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อมและให้ความสำราญพระองค์เต็มที่โดยไม่ละทิ้งพระองค์
วิถีชีวิตเช่นนี้ซึ่งพระสิทธัตถะทรงดำเนินชีวิตไม่แตกต่างไปจากโลกียวิสัยทั่ว ๆ ไปของพวกเรามากนักและพระองค์ได้รับการคุ้มครองวิถีชีวิตที่ดีเช่นนี้ไว้อย่างดีทีเดียว แต่แตกต่างกันเพียงเรื่องที่พระสิทธัตถะทรงใช้ชีวิตอย่างนั้นเพียง 29 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะทรงแสวงหาและเข้าถึงความจริง เพราะเราใช้ชีวิตจากช่วงหนึ่งไปสู่ช่วงหนึ่งโดยปราศจากการบรรลุถึงความจริงในสรรพสิ่ง เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ โดยที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนั้นจากภพชาติหนึ่งไปสู่อีกภพชาติหนึ่ง ไม่หยุดหย่อน เมื่อผ่านพ้นประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ในการคุ้มครองดูแลตลอด 29 ปี พระสิทธัตถะทรงตัดสินพระทัยที่จะค้นหาความหลุดพ้นเพื่อยุติการเกิดและการตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ทุกคนต้องประสบ การตัดสินพระทัยเช่นนี้ของพระองค์ เนื่องจากพระสิทธัตถะได้ทรงพบเห็นเทวทูต 4 ในคราวที่เสด็จหลบหนีออกจากพระราชพร้อมด้วยบริวารของพระองค์ (นายฉันนะและม้ากัณฐกะ) ในเวลานั้น พระกรุณาและพระเมตตาอันยิ่งใหญ่มีล้นอยู่ในพระทัยของพระองค์ โพธิจิตไหล่หลั่งออกจากพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระกรุณาสำหรับเหล่าสัตว์ทั้งปวงและทรงมั่นคงที่จะแสวงหาหนทางที่จะฉุดรั้งเหล่าสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ของพวกเขาให้ได้
โดยปกติแล้ว เหล่าสัตว์ใช้ชีวิตของพวกเขาดำรงอยู่โดยมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ อาหาร เพศและการหลับนอนในกามคุณทั้ง 5
พวกเขาปล่อยใจไปตามอำนาจแห่งความโลภในเรื่องทรัพย์สมบัติอย่างไม่หยุดหย่อน
พวกเขาดิ้นรนที่จะสร้างชื่อเสียงของพวกเขา โดยการสร้างความเสียหายให้เพื่อนมนุษย์เหมือนอย่างศัตรู
พวกเขาเพียบพร้อมไปด้วยหญิงที่น่าพึงปรารถนา
พวกเขามัวเมาอยู่ในอาหารอันหรูหราและการหลับนอนอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อไรก็ตามที่มีใครสักคนหนึ่งทักท้วงเกี่ยวกับความโลภของพวกเขา พวกเขาก็จะโต้ตอบโดยทันทีว่า “ใคร ๆ เขาก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้นแหล่ะ พวกเราเป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของคนจำนวนมาก”
ท้ายที่สุด เมื่อความตายมาเยือนพวกเขา ทันทีที่พวกเขาเกิดในภพใหม่ ในชีวิตใหม่นั้น วิถีชีวิตแบบใหม่ของพวกเขา เขาก็ยังตะเกียกตะกายและแข่งขันกันที่จะมีวิถีชีวิตเช่นนั้นอีก
ในระหว่าง 6 ปี แห่งการแสวงหาของพระองค์ พระสิทธัตถะทรงสนใจคำสอนของเจ้าลัทธิมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าลัทธิเหล่านั้นโดยทั่วไปก็นิยมการทรมานตนให้ลำบาก ได้แก่ “การบำเพ็ญตบะอย่างฤาษี” วิธีการเหล่านี้รวมไปถึงการทรมานตนให้เจ็บปวด เหมือนอย่างการนอนบนเตียงเหล็กแหลมและหนาม การพักอยู่ในท่ามกลางฝูงโคและที่โล่งแจ้งตลอดคืนวัน การอดอาหาร การขอทานและอาหาร เป็นต้น การปฏิบัติเช่นนี้ทั้งหมดเป็นสิ่งไร้แก่นสาร ไม่สามารถนำให้พ้นจากทุกข์ได้ เป็นความพยายามที่ไร้ผลทั้งสิ้น
นับถอยหลังไปจาก 6 ปีแห่งการแสวงหาบทสรุปทั้งหลาย ธรรมจริยา(หรือศีลธรรม)มีลักษณะที่เป็นเช่นนี้ ไม่มีเจ้าลัทธิคนใดเลยที่ค้นพบความจริงเลย อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมุ่งหมายถึงทุกข์ของบุคคลหรือทุกข์ทางกายเลย เพื่อที่จะปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนา ไม่มีความจำเป็นที่จะมองหาไปภายนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ หากแต่ควรมองมาสู่ภายในของตนเอง สรรพสิ่งซึ่งเป็นที่ต้องการตามหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาสามารถพบได้ภายในตน เพราะพุทธภาวะมีอยู่ภายในตัวของเราแต่ละบุคคลนั่นเอง เป็นสิ่งที่ไม่เลือนไป ไม่หายไป เพียงแต่เราไม่สามารถเข้าถึงเท่านั้น ทำไมหรือ ? ก็เพราะเราใช้เวลาทั้งหมดของพวกเราทำแต่สิ่งที่ความรู้สึกเราต้องการเท่านั้น พวกเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มักกลายเป็นทาสของความรู้สึกต่าง ๆ เสมอ พวกเรามักมีความยึดมั่นถือมั่น และพัฒนาความเข้มข้นของ “อัตตา” มากขึ้น จากสิ่งเหล่านี้ ทำให้เรามีความเห็นแก่ตัว ความโลภและความหลงติดในกามคุณทั้ง 5 อยู่ทุกวี่วัน แต่ละเวลาเราซ่องเสพแต่กามคุณอันเป็นโลกีย์อยู่ พวกเราถอยห่างจากพุทธภาวะ ตลอดเวลา เรามักปลีกห่างไปโดยแท้จากพุทธภาวะนั้น โดยปราศจากความระแวดระวังความขาดสติ(โง่งมงาย)ของพวกเรา
พวกเราสามารถเป็นคนโง่ไปได้อย่างไรกัน? ความจริงก็คือว่า เราเป็นเช่นนั้นจริง ๆ กล่าวคือ โง่งมงายมาตลอด โดยที่เราไม่เคยยอมรับความเป็นจริงนั้น มิใช่เท่านั้น แม้ในขณะนี้เราก็ไม่ยอมรับกัน เราไม่อาจยอมรับได้ว่าเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ช่วงชีวิตหนึ่งถึงช่วงชีวิตต่อ ๆ ไป ในความเป็นจริง เราไม่อาจอ้างถึงข้อจำกัดอันนี้ของพวกเราอย่างไม่มีกำหนด และเพราะเหตุนี้จึงทำให้เกิดปัญหาแก่เราอย่างต่อเนื่อง จากช่วงชีวิตหนึ่งสู่ช่วงชีวิตถัดไป
เหตุผลของบทสรุปนี้ ไม่ได้มีข้อสนับสนุนไว้อย่างแจ่มแจ้ง ในสัทธรรมปุณฑริกสูตร พระสิทธัตถะได้ทรงยืนยันไว้อย่างเด็ดขาดและทรงย้ำเน้นไว้ กล่าวคือ เมื่อทรงถูกท่านพระอานนท์ทูลถามว่า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ใครควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาแทนพระองค์
พระสิทธัตถะ ตรัสตอบว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องแสวงหาศาสดาหรอก ไม่มีความจำเป็นที่จะแต่งตั้งใครเป็นศาสดาเลย ควรยกย่องปาฏิโมกข์เป็นครูและศาสดาของเธอทั้งหลาย ควรยกย่องพระธรรมวินัยเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย”
พระพุทธพจน์นี้ ได้รับการยืนยันอีกในสมัยต่อมาโดยพระสังฆนายกองค์ที่ 6 คือท่าน ฮุ้ยเน้ง (คศ 638-713) ดังที่ท่านกล่าวว่า “นอกร่างกายของเรา สรรพสิ่งเป็นของว่างเปล่า ไม่มีความจำเป็นที่จะค้นหาอะไรเลย เพียงแต่เรามองเข้าไปในภายในตัวของเราเองและรื้อค้นพุทธภาวะของเราเองให้กลับคืนมา เพียงเราได้ถ่ายถอนความคิดซึ่งถูกปรุงแต่งในรูปแบบต่าง ๆ และถูกพอกพูนขึ้นออกไปเสีย เมื่อนั้น พุทธภาวะก็จะส่องแสงสว่างโดยธรรมชาติเอง”
ความจริงสิ่งเดียว ได้แก่ จิตอันเป็นกุศลนับเนื่องในโลกุตตรสัจจะ ย่อมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นที่ต้องการ ไม่มีอย่างอื่นเลย เมื่อใดก็ตาม จิตอันนับเนื่องในโลกุตตรสัจจะอุบัติขึ้น ย่อมสามารถกำจัดบาปธรรมและอำนาจแห่งอกุศลกรรมซึ่งห้อมล้อมเราที่ปรากฏอยู่ทั้งหมด นี้คืออำนาจแห่งกุศล ความคิดที่บริสุทธิ์และซื่อตรง คือ สิ่งทั้งปวงซึ่งมีความจำเป็นที่เราจะต้องก่อให้เกิดขึ้นเพื่อความหมดจดและการถ่ายถอดความทุกข์อันแสนสาหัสเสีย ความกรุณาและการประพฤติสุจริตต่อกัน จะสามารถทำให้บุคคลผ่านพ้นจากทุกข์อันเกิดแต่กรรมชั่วได้หลายกัลป์ ในทางตรงข้ามกัน การเบียดเบียนและประพฤติทุจริตต่อกันก็จะนำให้ประสบทุกข์หลายกัลป์ทีเดียว จงสำเหนียกในเรื่องนี้และห้ามตนจากการทำความชั่วเสียเถิด
โดยทั่วไปแล้ว พระสูตรต่าง ๆ ซึ่งเป็นดำรัสของพระสิทธัตถะ หรือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า ตลอดระยะเวลา 49 ปีแห่งการประกาศพระศาสนา จะถูกสืบทอดมาตามคำทูลขอของบุคคลหรือพระสาวกทั้งหลาย ดังนั้นพระสูตรต่าง ๆ จึงถูกบันทึกไว้ ซึ่งเป็นพระสูตรที่ถูกกล่าวถึงเมื่อพระสาวกทูลขอให้ทรงแสดงเท่านั้น แต่มีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่งเกี่ยวกับคำกล่าวข้างต้นนี้ ได้แก่ อมิตาภสูตร เป็นพระสูตรที่ถูกแสดงโดยปราศจากการทูลขอโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือเหล่าพระสาวกของพระองค์ เหตุใดพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงทรงประทานพระสูตรนี้ ?
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนมองว่า อมิตาภสูตรถูกแสดงในฐานะเป็นพุทธทัศนะในภายหลังการตรัสรู้ของพระศากยมุนีพุทธเจ้า สืบต่อไปจนถึงที่สุดของการประกาศพระศาสนาจนกระทั่งถึงก่อนการปรินิพพานของพระองค์ ทันทีที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงตระหนักว่า พระธรรมคำสอนของพระองค์ตลอด 49 ปี อาจจะลึกซึ้งยากยิ่งสำหรับปุถุชนโดยทั่วไปที่จะเข้าใจและเข้าถึง เนื่องจากพวกเขาโดยส่วนมากขาดปัญญาซึ่งจำเป็นที่จะเป็นเครื่องให้เข้าถึงความหมายขั้นปรมัตถ์ของพระสูตรต่างๆ
เพื่อเป็นทางออกให้เข้าถึงพระสูตรเหล่านี้ทั้งหมด พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยแสดงอมิตาภสูตร ในฐานะเป็นคำอธิบายที่ทำให้เหล่าสัตว์สามารถเข้าถึงหนทางแห่งความเป็นพุทธะได้ อมิตาภสูตรแสดงถึงแดนสุขาวดีทางโลกทิศตะวันตก เพื่อให้เหล่าเวไนยสัตว์ผู้ซึ่งได้บำเพ็ญบารมีธรรมตามข้อกำหนด 3 ประการ ดังนี้
1. การพัฒนาศรัทธาให้มั่นคง
2. การรักษาสัจจะที่รักษาศรัทธาให้คงอยู่
3. การปฏิบัติศรัทธาโดยไม่เปลี่ยนแปลง
ตลอดระยะเวลา 49 ปี พระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้ทรงสอนเหล่าพระสาวกของพระองค์เกี่ยวกับศูนยตา (ความว่างเปล่า) ความทุกข์ ต้นตอแห่งทุกข์ ทางให้เกิดต้นตอแห่งทุกข์ หนทางไปสู่ความดับแห่งทุกข์ หลักการเกี่ยวกับอนัตตา และคำสอนเกี่ยวกับการออกบวช ต่อจากนั้นเมื่อถึงวาระสุดท้ายของการประกาศพระศาสนาของพระองค์ พระองค์ทรงถ่ายทอดโดยทันทีและแจ่มชัด ถึงพระทัยของพระองค์เองออกมาด้วยอมิตาภสูตร ซึ่งเป็นการสอนให้พระสาวกของพระองค์มุ่งสู่การพัฒนาการเข้าถึงแดนสุขาวดีโลกด้านทิศตะวันตก
ข้อนี้เป็นขัดแย้งกันโดยแท้กับหลักคำสอนเรื่องความว่าง(ศูนยตา) และการออกบวช ทำไมถึงผันไปเป็นเช่นนี้ ? ทำไมถึงกลับกัน ? อมิตาภสูตรนี้ มีเพื่อประโยชน์ต่อเวไนยสัตว์ผู้ยังขาดปัญญาในการที่จะเข้าใจพระสูตรโดยทั่วไป กล่าวคือ ศูรางคมสูตร วัชรสูตร เหล่านี้เป็นต้น แม้ว่าพบว่าหมู่ชนจำนวน 1255 คน ในจำนวนพุทธบริษัททั้ง 4 เป็นผู้ขาดปัญญา ดังเช่นในอมิตาภสูตร อมิตาภสูตรก็ยังเป็นสิ่งที่ดีต่อข้อจำกัดหรืออุปสรรคทางความรู้สึกของมนุษย์เพื่อประโยชน์ต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ข้อจำกัดหรืออุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของความรู้สึกคือ “ความยึดมั่น” พระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงใช้อมิตาภสูตรเพื่อเป็นทุนลบล้างความอ่อนแออันนี้ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย โดยการประทานพระสูตรนี้แก่เวไนยสัตว์เหล่านั้นเพื่อเป็นที่หยั่งรู้ พระสูตรจะได้เป็นที่เข้าใจ คำสอนนี้สามารถทำให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงหยั่งรู้และเข้าใจ “แดนสุขาวดี” ได้ในฐานะเป็นเป้าหมายของการตัดสินใจว่าเราจะต้องเข้าถึงสิ่งที่มีค่ายิ่งทั้งมวล แดนสุขาวดีโลกด้านตะวันตก เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความสำคัญ เป็นจุดหมายที่พึงปรารถนา เป็นดินแดนที่มิใช่ว่างเปล่า แต่มีอยู่ ปรากฏอยู่เป็นดังฐานะที่พึงปรารถนาของเวไนยสัตว์ทั้งปวงที่จะเข้าถึงให้ได้ คำสอนเหล่านี้ทวนกระแสคำสอนเรื่องศูนยตาและการออกบวชเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นทางออกให้เวไนยสัตว์ที่ยังขาดปัญญาในการเข้าใจพระสูตรดั้งเดิมทั้งหลายได้ เมื่อเวไนยสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงแดนสุขาวดีแล้ว พวกเขาก็จะไม่กลับมาเกิดในวัฏฏสงสารอีก พวกเขาจะดำรงอยู่ ณ ที่นั้น เพื่อปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาจนกระทั่งได้บรรลุถึงการตรัสรู้ในที่สุด เนื่องจาก “แดนสุขาวดี” เป็นดินแดนที่ถูกนำเสนอให้เป็นที่ชักจูงใจ ของประชาชนผู้เป็นเวไนยสัตว์ทั้งหลาย แต่กระนั้น การจะเข้าที่สถานที่นั้นได้ บุคคลก็จะต้องรักษาศรัทธา สัตยาธิษฐานและการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ย่อหย่อน
สรุปว่า ตัณหาเป็นเครื่องกระตุ้น ไม่ใช่เป็นสิ่งทำให้ท้อถอย
อุปาทานเป็นเครื่องกระตุ้น ไม่ใช่เป็นสิ่งทำให้ท้อถอย
การมองเห็นความมีอยู่ของรูปเป็นเครื่องกระตุ้น ไม่ใช่เป็นสิ่งทำให้ท้อถอย
ผลที่สุดคือ เป็นการเกื้อกูลให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายแนบชิดและเข้าใจแดนสุขาวดี ดังนั้น จงใช้ข้อจำกัดภายในของเราอันเนื่องด้วยตัณหาและอุปทานในความรู้สึกนึกคิดจนกระทั่งถึงข้อจำกัดอันสูงสุดให้เป็นประโยชน์เพื่อให้เกิดผลดีต่อเวไนยสัตว์ทั้งปวง คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ทรงมุ่งแนะนำสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ใช้ทั้งตัณหาและอุปาทาน เหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้อ่อนแอและการควบคุมข้อจำกัดเหล่านี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งอันยิ่งใหญ่แก่สรรพสัตว์เหล่านั้น นี้เป็นความมุ่งหมายของคำสอนใน อมิตาภสูตร ข้อความเกี่ยวกับอุปาทานและตัณหาถูกเน้นย้ำอย่างมีนัยสำคัญทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องพวกเขาจากความผิดพลาดซึ่งอาจเกิดได้จากเวไนยสัตว์ด้วยกันได้
ไม่เข้าใจค่ะ สรุปคือจากที่ให้ละตัณหาแต่ให้เปลี่ยนเป็นใช้ตัณหาในการกระตุ้นให้ตัวเองทำดีจะเหมาะกว่าสำหรับคนที่มีความยึดมั่นเหรอค่ะ เข้าใจถูกรึเปล่ีา