ความสมบูรณ์พร้อมแห่งขันติ
ในอดีตกาลอันยาวนานที่ผ่านมา มีพระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่าสุโธลการ ระหว่างที่ทรงครองราชสมบัติ โหราจารย์ได้พยากรณ์ว่าความหายนะของบ้านเมืองจะเกิดขึ้น อาจจะไม่มีฝนตกประมาณ 15 ปี ข่าวสารอันนี้ทำให้พระราชาเศร้าพระทัยยิ่งนัก ทรงเรียกประชุมและเหล่าอำมาตย์ราชสำนักได้ตกลงดำเนินการรวบรวมข้าวไว้ในพระคลัง(ยุ้งฉางหลวง) สำรองไว้เพื่อประชาชนเท่าจำนวนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น การดำเนินการมีแนวโน้มว่าข้าวจะมีไม่เพียงพอต่อคนจำนวนมากในเมือง
ในคราวทุพภิกขภัย(ข้าวยากหมากแพง) ประชาชนจำนวนมากกำลังประสบกับความอดอยาก พระราชาจึงทรงแบ่งสรรปันส่วนอาหารพระราชทานเป็นรายวัน วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงตัดสินพระทัยอย่างฉับพลัน พระองค์ทรงประทับยืนขึ้นและด้วยพระทัยอันหนักแน่นทรงนอบน้อมต่อทิศทั้ง 4 และทรงประกอบพิธีตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เนื่องจากเกิดความขาดแคลนยาวนาน ไม่มีอาหารและประชาชนก็กำลังประสบกับความตายทุกวัน ๆ ข้าพเจ้าขอละทิ้งร่างกายมนุษย์นี้และขอถือกำเนิดเป็นปลาตัวขนาดใหญ่มหึมาเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตประชาชนด้วยเนื้อของข้าพเจ้า” ครั้นทรงทำสัตยาธิษฐานแล้ว ได้เสด็จขึ้นสู่ต้นไม้ต้นหนึ่งและทรงกระโดดลงมาจากต้นไม้นั้น พระองค์สิ้นพระชนม์และทรงถือปฏิสนธิเป็นปลาตัวขนาดใหญ่มหึมาในมหานทีแห่งหนึ่ง
ขณะนั้นมีคนตัดไม้จำนวน 5 คน อยู่ในเมืองนี้ เขาเหล่านั้นได้มายังริมฝั่งแม่น้ำเพื่อตัดไม้ ปลายักษ์ตัวนี้เห็นพวกเขาจึงตะโกนเรียกพวกเขาด้วยเสียงมนุษย์ว่า “โอ ชายหนุ่มทั้งหลาย ถ้าท่านมีความหิว โปรดชำแหละเนื้อจากลำตัวของเราไปเป็นอาหารเถิด เมื่อใดที่ท่านอิ่มหนำสำราญแล้ว ขอจงนำเนื้อของเราเท่าที่ท่านจะสามารถนำไปได้ไปสู่บ้านเพื่อลูกๆ ครอบครัวและเพื่อนบ้านของท่านด้วย ขอให้ท่านเชิญชวนผู้คนในเมืองให้รู้ว่าสามารถหาอาหารได้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเหล่านี้ บอกพวกเขาให้มาที่นี่เพื่อหาอาหาร”
ชายทั้ง 5 หลังจากได้กินเนื้อปลาแล้ว ได้ชำแหละเนื้อจากปลาเพิ่มอีกและได้นำกลับบ้านไป พวกเขาป่าวประกาศให้ผู้คนในเมืองทราบว่าสามารถหาเนื้อปลาได้จากริมฝั่งแม่น้ำ ประชาชนชาวเมืองได้มาชำแหละเนื้อจากปลายักษ์นั้นทุกวัน ตอนแรกพวกเขาได้ชำแหละและตัดเอาด้านหนึ่ง จากนั้นจึงตัดเอาอีกด้านหนึ่ง ปลาตัวนั้นได้ช่วยประทังชีวิตประชากรตลอดระยะเวลา 15 ปี แห่งการประสบทุพภิกขภัย พระราชาพระองค์นั้นก็คือ พระศากยมุนี ส่วนคนตัดไม้ทั้ง 5 ก็ได้แก่ เหล่าภิกษุปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั่นเอง นี่คือหนึ่งในบรรดาหลายพระชาติที่พระศาสดาทรงประสบมาก่อน – เป็นกรณีตัวอย่างของกรรมสัมพันธ์ที่แนบสนิท
ในอีกพระชาติหนึ่ง เมื่อพระศากยมุนีทรงบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งทรงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่ง (ฤาษีหรือนักพรต) อยู่ในป่าลึก ห่างจากพระราชวังของพระเจ้ากาลิงคะไปประมาณ 30 ไมล์หรือมากกว่านั้น วันหนึ่งพระราชาได้ทรงริเริ่มการเสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ พระองค์ได้ตรัสเรียกให้รวมเหล่าทหารและข้าราชบริพารให้ติดตามเฝ้าพระองค์ไปด้วย ครั้นหมู่คณะมีความพร้อมเพรียงแล้ว พระองค์ได้ตรัสเรียกเหล่านางสนมผู้เลอโฉมทั้งหมดให้ติดตามพระองค์ไปด้วย พื้นที่สำหรับทรงล่าสัตว์ตั้งอยู่ในระหว่างเทือกเขา ห่างออกไปจากเมือง เมื่อหมู่คณะถึงป่าแล้ว ทันใดนั้น พระเจ้ากาลิงคะทรงทิ้งพวกหญิงผู้หวาดผวาไว้ข้างทาง พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารและเหล่าทหารของพระองค์ได้เสด็จเข้าไปยังส่วนลึกของป่าเพื่อการตามล่าสัตว์ครั้งยิ่งใหญ่
พวกผู้หญิงร่อนเร่ไปในผืนป่าแต่โดยลำพัง ทันใดนั้นพวกนางก็ได้พบกับภิกษุหนุ่มอายุราว 18-19 ปี โดยบังเอิญ ท่านมีผมยาวพะรุงพะรังและไว้หนวดเครารุ่มร่าม เครื่องนุ่งห่มของท่านอยู่ในสภาพเป็นเศษผ้า ตอนแรกที่พวกนางได้สะกดรอยตามท่านไป พวกนางพากันเข้าใจผิดว่าท่านเป็นสัตว์ป่า ลักษณะที่ปรากฎของท่านเป็นสิ่งน่าประหลาดใจและพวกนางไม่เคยพบเห็นมนุษย์ในลักษณะเช่นนี้ จึงพากันหวาดกลัว “ดูนั่น” พวกนางร้องตะโกน พลางจับฉวยกันและกันด้วยความกลัว (และกล่าวว่า) “มีสัตว์ป่าตัวหนึ่งซึ่งดูเหมือนเป็นมนุษย์เลย”
“ฉันไม่ใช่สัตว์ป่า ฉันเป็นผู้บำเพ็ญตนตามมรรค” ชายหนุ่มยืนยันต่อพวกนาง
เมื่อนางสนมเหล่านั้นรู้ว่าคนป่านี่พูดได้ ความกลัวของพวกนางก็สงบลง พวกนางเข้าไปใกล้นักพรตและถามว่า “อะไรคือการบำเพ็ญเพียรตามมรรค?”
จากนั้น ชายหนุ่ม(นักพรต) จึงได้แสดงธรรมแก่พวกนาง พวกนางเกิดความปีติและประทับใจอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งซึ่งพวกนางได้ยินได้ฟัง ทำให้พวกนางลืมถึงสถานที่ที่พวกนางอยู่
ฝ่ายพระเจ้ากาลิงคะ ได้เสด็จกลับมาจากการล่าสัตว์เพื่อตามหาพวกนางเหล่านั้น แต่ทรงกลับร้อนพระทัยอย่างมากว่า เหล่านางสนมของพระองค์ไม่ได้อยู่ในสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงละทิ้งพวกนางไว้เมื่อตอนเช้าวันนั้น “พวกนางจะต้องหลงทางแล้วแน่” พระองค์ทรงดำริเช่นนั้น จากนั้น พระองค์ทรงเสด็จออกค้นหาพวกนาง ในที่สุดได้ทอดพระเนตรเห็นพวกนางจับกลุ่มกันอยู่รอบ ๆ บุรุษผู้ดูท่าทางแข็งแรงคนหนึ่ง พระองค์ค่อย ๆ เสด็จเข้าไปที่พวกนาง ท่าทางเหมือนอย่างไล่ตามเหยื่อ เมื่อพระองค์ประทับอยู่ใกล้ชิดกับพวกนางแล้ว พระองค์ได้ทรงสดับธรรมซึ่งนักพรตกำลังแสดงอยู่อย่างสงบเงียบ นักพรตหนุ่มเป็นที่ปีติยินดีของเหล่านางสนมของพระราชาเป็นอย่างมาก ทำให้พวกนางไม่ทันสังเกตว่าพระราชาเสด็จมาถึงที่ตนแล้ว พระราชาจึงทรงส่งเสียงกระแอมและตะโกนไปยังนักพรตว่า “ท่านกำลังทำอะไรกันนี่?”
“อาตมากำลังบำเพ็ญตามมรรค” นักพรตทูลตอบ
“ท่านได้บรรลุผลที่ท่านกำลังบ่มเพาะแล้วหรือ” พระราชาตรัสถาม
“ยังไม่บรรลุ” นักพรตทูลตอบกลับไป
“ท่านได้บรรลุขั้นที่สามแล้วหรือยัง? พระราชาตรัสต่อ
“ยังเลย” ภิกษุทูลตอบ “อาตมายังไม่ได้บรรลุขั้นที่สาม”
พระราชาตรัสถามว่า “เราได้ยินว่ามีบุคคลผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเทือกเขาและดำรงอยู่ด้วยการกินผลไม้ในป่าตามอัตภาพ พวกเขาบรรลุความเป็นอมตะ แต่พวกเขายังไม่ปราศจากความโลภและราคะ พวกเขายังเต็มไปด้วยความทะยานอยากภายในจิตใจ ท่านเป็นคนหนุ่มและไม่ได้ยืนยันถึงผลอย่างใดอย่างหนึ่งของมรรค ท่านยังมีความคิดที่ประกอบด้วยตัณหาทั้งหลายอยู่ใช่หรือไม่ ?”
ภิกษุตอบว่า “อาตมายังกำจัดตัณหาไม่ได้”
เมื่อพระเจ้ากาลิงคะได้ทรงสดับคำทูลตอบของภิกษุ พระองค์ทรงเดือดดาลพระทัยและทรงตำหนิว่า “ถ้าท่านยังกำจัดกิเลสตัณหาไม่ได้ เมื่อท่านเห็นพวกผู้หญิงเหล่านี้ของเรา ท่านเห็นพวกนางเหมือนอย่างนี้ ท่านจะอดกลั้นต่อกิเลสตัณหาซึ่งเกิดขึ้นในใจของท่านได้อย่างไร ?”
ภิกษุ “ถึงแม้ว่าอาตมาจะกำจัดกิเลสไม่ได้หมดสิ้น อาตมาก็ไม่เคยทำให้มันกำเริบขึ้นมา ในการบำเพ็ญเพียรของอาตมา อาตมาก็คอยสำรวมระวังสิ่งเศร้าหมองทั้ง 9 ประการอยู่”
พระราชาทรงโต้ตอบว่า “ท่านบ่มเพาะสิ่งเศร้าหมองทั้ง 9 อยู่มากกว่ามั้ง ท่านเป็นคนหลอกลวง! ทำอย่างไรเราจะรู้ได้ว่าท่านไม่มีความปรารถนาในเหล่านางสนมบริวารของเรา ?”
ภิกษุทูลว่า “อาตมาอดทนอดกลั้นได้ อาตมาอดทนได้ทุกสิ่ง”
“โอ ทำได้จริงหรือท่าน? พวกเราจะได้รู้กันว่าได้จริงหรือไม่ เราจะตัดหูของท่านเป็นอันดับแรกล่ะ” พระราชาตรัสและทรงเริ่มถอดพระแสงของพระองค์ออกจากฝัก ฟันหูของภิกษุจนขาดหลุดออกไป ต่อจากนั้นราชบุรุษและเหล่าเสนาอำมาตย์อื่น ๆ ของพระองค์ก็ได้เข้ามาใกล้ ๆ พวกเขาได้เป็นประจักษ์พยานในการที่พระราชาได้ตัดหูของภิกษุและได้บันทึกไว้ว่าภิกษุไม่มีความสะทกสะท้านและขยับเขยื้อนตัวเลย เท่าที่เห็นเหมือนจะไม่มีความทุกข์และความเจ็บปวดเลย หรือแม้จะมีความเจ็บปวดก็ไม่ได้แสดงอาการนั้นออกมาเลย
มหาดเล็กของพระราชาได้ทูลอ้อนวอนพระราชาว่า “ขอเดชะพระองค์ อย่าได้ทรงฟาดฟันเขาอีกเลย เขาอาจจะเป็นมหาบุรุษ เขาจะต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ ๆ เลยพระเจ้าข้า“
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นพระโพธิสัตว์ เจ้ารู้ได้อย่างไร? พระราชาทรงโต้ตอบด้วยพระทัยเกรี้ยวกราด
“ทอดพระเนตรเขาซิพระเจ้าข้า เขามีพฤติกรรมที่สงบสำรวมปราศจากความตื่นตระหนก เขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการปกป้องพระราชอาญาของพระองค์เลย” มหาดเล็กกราบทูล
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าเขาไม่มีความรู้สึกใด ๆ ฉันพนันได้ว่าในใจของเขา เขาโกรธเกลียดฉันแน่ ฉันจะทำอย่างเดิมอีกครั้งก็แล้วกัน” ตรัสดังนี้แล้ว พระราชาได้ทรงเงื้อพระแสงอีกครั้งและครั้งนี้ทรงตัดที่จมูกของภิกษุหนุ่มนั้น พลางตรัสถามว่า “โกรธฉันอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่หรอก อาตมาไม่โกรธท่าน” ภิกษุทูลตอบ
“ท่านไม่โกรธหรือ ? ท่านกำลังเสแสร้งกับเรา เราจะตัดมือของท่านแล้วคอยดูว่าท่านจะยังทนทานได้อีกหรือ” เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ได้ตัดมือข้างหนึ่งของภิกษุจนขาดไป
ภิกษุจึงทูลตอบว่า “เหมือนกันทั้งหมดแหล่ะพระองค์ อาตมาสามารถทนมันได้”
พระราชา “เอาเถอะ จากนี้เราจะตัดมืออีกข้างหนึ่งของท่านเสีย” เมื่อได้ทรงกระทำดังนั้นแล้ว ความโทสะของพระองค์ก็ยังกระเพื่อมเดือดดาลในพระทัยว่า “ท่านยังไม่โกรธหรือ?”
ภิกษุ” ไม่ อาตมาไม่โกรธ”
“เจ้าคนประหลาด ไม่มีใครเขาทนอยู่ได้นาน ๆ เหมือนที่เจ้าถูกคนที่แข็งแกร่ง(อย่างเรา)ทำร้ายให้กลายเป็นคนพิการหรอก ฉันจะตัดขาของเจ้าด้วย” เมื่อตรัสดังนั้น พระองค์จึงเงื้อพระแสงตัดขาของภิกษุจนขาดอีก แล้วทรงตะโกนอย่างขาดสติ(ตีโพยตีพาย)ว่า “ยังไม่โกรธอีกหรือ?”
ภิกษุผู้พิการไปแล้วยังคงนั่งเหมือนอย่างเดิม ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด เลือดไหลทะลักออกมารอบตัว แต่ท่านยังคงยืนยันอีกครั้งว่า “อาตมาไม่โกรธ”
ทันใดนั้น ท้าวจตุมหาราช (เทวราชทั้ง 4) เกิดความโกรธเคืองมาก จึงได้บันดาลให้ฝนลูกเห็บขนาดเท่าขนมซาลาเปาตกลงมาอย่างหนัก ภูเขาทั้งหลายหวั่นไหวอย่างแรงกล้าเป็นเครื่องบอกถึงความไม่พึงพอใจของทวยเทพ แสงสว่างเต็มท้องฟ้าและสายฟ้าฟาดดังกึกก้องน่าสะพรึงกลัว พระราชาทรงตกพระทัยกลัว ในที่สุดพระองค์ทรงเข้าพระทัยว่า พระองค์ได้ทรงกระทำบาปมหันต์แล้ว ทวยเทพกำลังลงโทษพระองค์ ทรงหมอบคลานเข้าไปหาภิกษุผู้พิการและขออโหสิกรรมจากท่าน
พระราชา “เราผิดไปแล้ว เราผิดไปแล้ว โปรดอโหสิกรรมให้เราด้วยเถิด สวรรค์กำลังลงโทษต่อความชั่วของเรา ขอได้โปรดอย่าได้โกรธเคืองเราเลย ขอได้โปรดเถิด”
ภิกษุ “เราไม่เคยมีความโกรธเคืองเลย”
พระราชาผู้ทรงสำนึกพระทัยได้ตรัสว่า “นั้นไม่ใช่ความจริง ถ้าท่านไม่โกรธ ทำไมสวรรค์กำลังลงโทษเราอยู่ละ? พระองค์ยังคงเข้าพระทัยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เกิดเนื่องจากคำสาปแช่งของภิกษุ
ภิกษุทูลยืนยันว่า “อาตมาสามารถพิสูจน์ให้ท่านรู้ได้ว่า อาตมาไม่ได้โกรธท่านเลย ถ้าเราโกรธจริง ขอให้ส่วนต่าง ๆ ที่แยกสลายไปของร่างกายของอาตมาไม่สามารถกลับคืนดังเดิมได้ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ขอให้ทุกส่วนของร่างกายที่แตกสลายไปกลับคืนสู่สภาพเดิมของมันเถิด”
ทันทีทันใดที่ภิกษุพูดจบดังนั้น ขา มือ จมูกและหูของท่านได้กลับมาเป็นสภาพเดิมในกายของท่านโดยสมบูรณ์ ท่านเป็นดังเดิมไปทั่วทั้งกายอีกครั้ง เมื่อร่างกายกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งเช่นนี้ภิกษุนั้นได้ตั้งปณิธานต่อพระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้ง 4 ของพระองค์ว่า “ในกาลที่เราจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า เราจะให้ท่านเป็นผู้ติดตาม(บรรลุตาม) เราไปเป็นอันดับแรก” ทั้ง 5 ท่านเหล่านี้ก็คือ ปัญวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันผู้ซึ่งพระศากยมุนีทรงช่วยให้ถึงฝั่ง (ปารมิตา)นั่นเอง
ดังนั้น ในเรื่องนี้คุณจะเห็นได้ถึงการบำเพ็ญขันติบารมี ของพระศากยมุนีพุทธเจ้า
ขอให้มีสุขครับ
อะ ดะ ทะ นะ (อดทน) อนุโมทนาครับ สาธุ ๆ ๆ
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองนะคะทุกคน
มาลงชื่อไว้ก่อนเดี๋ญวมาอ่านต่อนะครับ