หลังจากการอุปสมบทของปัญวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาด้วยพระญาณและทรงเห็นว่า อุรุเวลากัสสปะผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มีเหล่าสาวกผู้ปฏิบัติตามจำนวนมาก สามารถบวชได้ สำหรับอุรุเวลากัสสปะนั้น คิดว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นคนแปลกหน้าและเมื่อเป็นเช่นนั้น ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จเพื่อโปรดท่าน อุรุเวลากัสสปะไม่แสดงความเป็นมิตรด้วยการเคารพเนื่องจากคิดว่า “เราเป็นผู้นำของหมู่ชนจำนวนมาก ทุกๆคนยกย่องเราว่า “เป็นผู้ทรงเกียรติ” เมื่อไม่ทราบถึงเบื้องหลัง(ความเป็นมา)ของพระพุทธเจ้า ท่านจึงเริ่มสนทนาสืบสาวถึงธรรมะกับพระองค์อย่างไม่มีพิธีรีตอง ทันใดนั้นแม้ว่า ท่านจะเข้าใจดีว่าท่านได้เผชิญหน้าโดยไม่มีวัตถุประสงค์ของสิ่งที่พูดแต่ก็ไม่มีการยุติการสนทนากัน ท่านไม่สามารถเอาชนะพระพุทธเจ้าได้ในการโต้วาทะกัน เมื่อพ่ายแพ้ในการสนทนา ท่านจึงอาศัยพลังอำนาจทางจิตในฐานะที่ท่านเป็นผู้บูชาไฟ มุ่งหมายที่จะเผาพระพุทธเจ้า ท่านได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ พลังของท่านเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่ไฟก็ไม่สามารถทำร้ายพระพุทธเจ้าได้ และในความเป็นจริง ไฟกลับหวนมายังอุรุเวลากัสสปะ ผู้ซึ่งกำลังจะถูกเผาไหม้ทั้งเป็น กลายเป็นผู้ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ทันใดนั้นจึงได้ยอมจำนนต่อพระพุทธเจ้า อุรุเวลากัสสปะมีสาวกผู้เป็นบริวารจำนวน 500 คน ส่วนน้องชายของท่านอีก 2 คนมีบริวารท่านละ 250 คน รวมผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก เมื่อนับรวมทั้งหมดแล้วได้จำนวนพระสาวก 1005 ท่าน หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าได้ประทานการอุปสมบทแก่พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะผู้มีสาวกบริวารเป็นของตนท่านละ 100 คน รวมกับเหล่าพระสาวกก่อนหน้านี้ พระสาวกของพระพุทธเจ้ามีจำนวนนับได้ 1205 ท่าน ประกอบกับพระยสะกุลบุตร ผู้มีบริวาร 50 คนซึ่งถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกเช่นกัน รวมเหล่าพระสาวกทั้งหมดได้ 1255 ท่าน นับเป็นที่น่ายินดี การประชุมอันประกอบด้วยองค์ 4 จึงได้ก่อเกิดหมู่คณะสงฆ์ขึ้นเป็นครั้งแรกชัดเจน จากนั้นจึงได้มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา
ไม่มีความเห็น