เลี้ยงลูกให้เก่ง ดี มีมนุษยสัมพันธ์ ด้วย S.Q.
น.พ. กมล แสงทองศรีกมล
กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
เคยคิดไหมครับว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้คนเราประสพความสำเร็จในชีวิต เชื่อว่าหนึ่งในปัจจัยนั้นคือเรื่องของการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีทักษะในการสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งก็คือความฉลาดทางสังคม ( Social quotient ) หรือ S.Q. นั่นเองครับ S.Q. ยังรวมไปถึงการมีบุคลิกภาพดี ยิ้มแย้มแจ่มใส หรือแม้แต่การสบตา ( eye contact ) ขณะพูดคุยกับผู้อื่น S.Q.นั้นจำเป็นสำหรับเกือบทุกสาขาอาชีพครับ เคยสังเกตไหมครับว่าทำไมศิลปิน นักร้อง นักแสดงบางคนประสพความสำเร็จ ทำไมบางคนไม่ ครั้งหนึ่งผู้จัดการศิลปิน ( entertainer manager) ของบริษัทแกรมมี่ ซึ่งมีหน้าที่คัดเลือกศิลปินนักร้องนักแสดงเคยให้สัมภาษณ์นิตยสารเล่มหนึ่ง บอกว่าเราต้องการ "นักเล่าเรื่อง" ที่เก่ง คำว่า"นักเล่าเรื่อง" ก็หมายถึงคนที่มีสามารถในการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกของเพลงไปสู่ผู้ฟังนั่นเอง ยกตัวอย่างคุณเบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย์ อาจไม่ใช่นักร้องที่เสียงดีที่สุดแต่เป็นนักร้องที่ประสพความสำเร็จมากโดยเฉพาะบนเวทีคอนเสิร์ต จะเห็นว่าเขามีทักษะที่สูงมากในการสื่อสารถ่ายทอดอารมณ์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับคนดู คุณเบิร์ดเคยให้สัมภาษณ์ว่าเวลาแสดงอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต " เบิร์ดจะมองทุกๆคน " นั่นคือให้ความสำคัญกับการสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์ด้วยการการสบตา ( eye contact ) กับทุกคนไม่ว่าจะอยู่ชั้น1หรือชั้น2 ชั้น3 คนดูที่อยู่ซ้ายสุดหรือขวาสุดของเวที มีศิลปินนักร้องลูกทุ่งอีกคนที่ประสพความสำเร็จมากในอดีตคือคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ เวลาร้องเพลงจะมีการทอดสายตา แสดงอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าไปตามอารมณ์ของเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงสนุกหรือเพลงเศร้าได้อย่างดีเยี่ยม มีคนบอกว่า เพลงตั๊กแตนผูกโบว์นั้น เนื้อหา ทำนองเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่พอเป็นคุณพุ่มพวงร้องก็กลับดีและสนุก จะเห็นว่าอาชีพอื่นๆเช่นนักการเมืองก็ต้องอาศัย S.Q. ในการหาเสียงบนเวทีหรืออภิปรายในสภา ผู้บริหารที่เก่งก็ต้องใช้ S.Q. กับพนักงาน ผลการเรียนแพทย์ที่ดีอาจใช้ I.Q. แต่การประสบความสำเร็จ เป็นหมอที่คนไข้ติด ก็ต้องใช้ S.Q ครูที่สอนเก่งและสนุกก็ต้องใช้ S.Q. สอนนักเรียน ปัจจุบันนี้เวลารับสมัครงานเริ่มมีการให้ความสำคัญกับความฉลาดทางสติปัญญา ( Intelligence quotient, I.Q. ) เช่นผลการเรียนน้อยลง แต่เริ่มพิจารณาถึงความฉลาดทางสังคม ( Social quotient , S.Q. ) มากขึ้นเรื่อยๆครับ
• ที่มาของ S.Q.
ที่มาของ S.Q. นั้นน่าสนใจมากครับคือมาจากการศึกษาวิจัยในห้องเรียน โดยให้เด็กนักเรียนมัธยมลองคัดเลือกเพื่อนร่วมชั้นที่คิดว่ามนุษยสัมพันธ์ดีที่สุด น่าคบที่สุด เพื่อนที่ทุกคนรักมากที่สุด โดยแต่ละคนจะลงคะแนนหรือโหวตชื่อเพื่อนทั้งหมด 5 ลำดับ ปรากฏว่าเพื่อนคนที่ได้คะแนนสูงสุดมักจะเป็นคนที่มีทักษะที่ดีในการติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ( Good interpersonal skills ) ซึ่งมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
- ยิ้มเก่ง ( smiling a lot )
- มองโลกในแง่ดี ( positive attitude )
- ดูมีความสุข ( general happiness. )
( พูดถึงคนที่ดูมีความสุข และมีคนชอบมากๆ ก็ลองนึกถึงคุณโนส อุดมนะครับ )
• S.Q. หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จ
ว่ากันว่าปัจจัยของความสำเร็จของคนเรานั้น 1/3 มาจากความฉลาดทางสติปัญญา ( I.Q.) อีก2/3 มาจาก ความฉลาดทางอารมณ์ ( E.Q. ) ซึ่งใน E.Q. นี้ แบ่งย่อยออกไปอีกเป็น1/3 คือ S.Q. อีก1/3 คือการมีจุดมุ่งหมายและสนใจในงานที่ทำ (ambition ) แท้ที่จริงแล้ว S.Q. ก็เป็นส่วนหนึ่งของ E.Q. นั่นเองครับ ดังนั้นทักษะทางสังคม (social skills ) จึงคิดเป็น 1/3 ของความสำเร็จเลยทีเดียว มีการศึกษาวิจัยบางอันพบว่านักเรียนเกรด C คือคนที่ผลการเรียนไม่ดีนัก กลับทำเงินได้มากกว่า และเป็นผู้จัดการของนักเรียนเกรด A คือคนเคยเรียนเก่งๆ กล่าวคือผลการเรียนและคะแนนที่ดีนั้นอาจนำไปสู่งานที่ได้เงินมากกว่าในตอนแรกเท่านั้น และนั่นก็เป็นเพียงแค่ 1/3 ของความสำเร็จ แต่ถ้าคนเราควบคุม 2/3 ของความสำเร็จ ( social skills and ambition. ) ได้ก็จะประสพความสำเร็จได้ไม่ยาก นอกจากนี้คนเรายังไม่สามารถเปลื่ยนแปลง I.Q. คือระดับสติปัญญาของตัวเองได้ ( out of control ) แต่เราสามารถเสริมสร้าง S.Q. และความสนใจในงานได้ของตัวเราเองได้ครับ
• การสมัครงานกับ S.Q.
การรับสมัครงานยุคปัจจุบันนี้ให้ความสำคัญกับความฉลาดทางสังคม ( S.Q. ) มากขึ้นเช่นการมีมนุษยสัมพันธ์ ยิ้มแย้มแจ่มใส บุคลิกภาพดี หรือแม้แต่การสบตา ( eye contact ) ขณะพูดคุยกับผู้อื่น ซึ่ง S.Q. ยังรวมถึงทักษะด้านอื่นๆ เช่น ความตรงต่อเวลา ความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดีต่อองค์กร ความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง ( self-motivated) ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อการทำงานทั้งสิ้นครับ
เราลองมาดูการจัดอันดับความสำคัญ ( rating ) ของการพิจารณาจ้างงานและรับบุคคลเข้าทำงานในองค์กร
โดยคะแนน 3 หมายถึงมีสำคัญมาก , คะแนน1 มีสำคัญน้อย พบว่า
การตรงต่อเวลา ( Punctuality) = 3.00
ความซื่อสัตย์ สุจริต (Honesty) = 3.00
ความยิ้มแย้มแจ่มใส (Smile)* = 2.60
บุคลิกภาพ (Personable )* = 2.71
การแต่งกาย (Appearance )* = 2.67
ทักษะในการพูดจา (Verbal skills ) = 2.62
การสบตา (Eye contact )* = 2.60
ความสามารถสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง (Self-motivate)* = 2.57
คะแนนจากการศึกษา (Grade Point ) = 1.79
ประสบการณ์ (Experience) = 1.38
จะเห็นว่ามีหลายข้อที่เป็นเรื่องของ S.Q. ( * = S.Q. score )
• จงรักงานที่ตัวเองทำ
การมีจุดมุ่งหมายและสนใจในงาน ( Ambition or self-skills) มีสำคัญมากต่อความสำเร็จของการทำงานครับ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็ตรงกับฉันทะและจิตตะในอิทธิบาทสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก่อนแล้วนั่นเอง การมีจุดมุ่งหมายและสนใจในงานที่ทำนั้นเป็นผลจาก
- ความซื่อสัตย์ สุจริต ( honesty)
- ความสามารถในการปรับตัว ( adaptability)
- ความเป็นคนตรงไปตรงมา ( punctuality )
การมีจุดมุ่งหมายและสนใจในงานที่ทำนั้นมีความสัมพันธ์กับความสนใจ และรักในงานที่ทำ ( Love career )
Bill Gate เรียนไม่จบปริญญาตรีแต่ด้วยความรักและสนใจในการเขียนโปรแกรม ซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น โดยโปรแกรมแรกที่เขาหัดเขียนก็คือโปรแกรมเกมส์นั่นเองครับ ทุกวันนี้เขาประสพความสำเร็จทางธุรกิจระดับโลกก็เพราะรักและทุ่มเทในงานที่ทำ คุณสรยุทธ์เคยบอกว่าข่าวคือชีวิต ไม่ใช่งาน เขาสนใจและชอบอ่านข่าวมาแต่เด็ก คุณหมึกแดงก็รักการทำอาหาร เวลาทำรายการอาหารก็ทำด้วยความสุข
ปัจจัยความสำเร็จของลูกหลานของเรานั้นนอกจากจะขึ้นกับสติปัญญา ผลการเรียนแล้วยังขึ้นกับทักษะทางสังคมที่ดี การมีมนุษยสัมพันธ์และความรักในงานที่ทำด้วย มาช่วยกันเป็นแบบอย่างและส่งเสริมให้ลูกหลานมีสิ่งดีๆหล่านี้เพื่อความสำเร็จในอนาคตกันเถอะครับ
อยากให้อาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำเทคนิคการพัฒนาSQด้วยคะทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ขอความกรุณาอาจารย์ แนะนำกิจกรรมที่จะตรวจสอบ SQ ของผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยเน้นกิจกรรมกลางแจ้ง ให้ทุกคนสามารถสะท้อน SQ ว่ามีความสำคัญในการทำงานเป็นทีมอย่างไร
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
เนื้อหาดีจิงๆ
อ่านแล้วรุ้เรื่องจัง
555+
*.*
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ส่งไปนึกว่าพี่ครูคิมไม่ได้อ่านเสียอีก
ขอบคุณครับที่เห็นว่าพอเป็นประโยชน์
แอบติดตามอ่าน blog ของพี่ครูคิมตลอดครับ ชอบเรื่องไปเก็บมะขามมาก เรียกในblog น่าจะพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสือได้
นะครับ
หมอกมล