เป็นการยากที่ประชาชนจะมีสัมมาทิฐิ เนื่องจากพวกเขาต้องประสบกับอุปสรรคในชีวิต 20 ชนิด ได้แก่
1. เป็นการยากที่จะให้ทานเมื่อเป็นคนจน
2. เป็นการยากที่จะเรียนรู้อริยมรรคในเมื่อเป็นผู้มีอำนาจและความมั่งคั่ง
3. เป็นการยากที่จะสละชีวิต(เพื่อบำเพ็ญบารมี) ทั้งที่ในความเป็นจริง ความตายเป็นของแน่นอน
4. เป็นการยากที่จะได้สดับพระสูตรทางพระพุทธศาสนา
5. เป็นการยากที่จะเป็นผู้เกิดในยุคสมัยของพระพุทธเจ้า
6. เป็นการยากที่จะอดทนต้านทานต่อความกามราคะและตัณหา
7. เป็นการยากที่จะพบสิ่งที่ดีแล้วไม่แสวงหามันต่อ
8. เป็นการยากที่จะเป็นผู้สันโดษและไม่กลับมาหิวโหย
9. เป็นการยากที่จะเมื่อมีอำนาจแล้วจะไม่ใช้มันในทางที่ผิด
10. เป็นการยากที่จะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ แล้วมาปล่อยวางเสียได้(ไม่คิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ)
11. เป็นการยากที่จะเป็นผู้เรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้งและเผยแพร่ได้อย่างกว้างขวาง
12. เป็นการยากที่จะหลุดพ้นจากความพึงพอใจในอัตตา
13. เป็นการยากที่จะไม่ดูแคลนเหล่าสัตว์ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษา
14. เป็นการยากที่จะฝึกจิตใจให้เป็นสมาธิ
15. เป็นการยากที่จะไม่พูดจาซุบซิบนินทากัน
16. เป็นการยากที่จะพบผู้ชี้นำที่รู้จริง(กัลยาณมิตร)
17. เป็นการยากที่จะหยั่งเห็นธรรมชาติภายในของตนเองและศึกษาอริยมรรค
18. เป็นการยากที่จะปรับเปลี่ยนตนเองในวิถีทางทั้งหลายซึ่งเหมาะสมสำหรับการขนเหล่าสัตว์ให้บรรลุธรรม(ตรัสรู้)
19. เป็นการยากที่จะเข้าถึงสภาวะนั้นแล้วไม่เป็นผู้เคลื่อนออกจากสภาวะนั้น
20. เป็นการยากที่จะมีสัมมาทิฐิเกี่ยวกับปฏิปทาในวิถีทางทั้งหลาย
ที่สำคัญเป็นการยากที่บุคคลคนหนึ่งจะออกจากเรือน ไม่มีใครต้องการที่จะออกจากเรือน บุคคลจักต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของตนเสียก่อน เมื่อบุคคลออกจากชีวิตฆราวาสแล้ว นั่นหมายถึงว่าเขาได้มอบถวายกายและมอบถวายใจ มอบถวายความเป็นปกติและชีวิตของตนแด่พระรัตนตรัยแล้ว เขาย่อมเข้าถึงโพธิมณฑล คือ สถานที่แห่งอริยมรรค และน้อมตนเข้าใกล้พระรัตนตรัย
การออกจากเรือนสื่อนัยว่า มิใช่จะเป็นเพียงการออกบวชสละบ้านเรือนซึ่งเป็นบ้านเรือนแบบโลก ๆ ของบุคคลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการที่บุคคลกำลังออกจากอาณาจักร 3 ประการ คือ อาณาจักแห่งกามตัณหา อาณาจักรแห่งภวตัณหา และอาณาจักรแห่งวิภวตัณหา ในที่สุดแล้ว การออกจากเรือนก็คือ การออกจากเรือนแห่งความทุกข์ทรมาน จิตใจของบุคคลจักต้องมีความมุ่งมั่นโดยสมบูรณ์ต่อโพธิคือ การตรัสรู้
เหล่าชนซึ่งออกจากเรือน ก่อให้เกิดรัตนะประการที่สามที่สำคัญ ได้แก่ สังฆะ สมาชิกของสังฆะก็คือ ภิกษุทั้งหลายนั่นเอง พวกเขาอาศัยอยู่ในวิถีชีวิตที่มักน้อยและมัธยัสถ์ โดยปกติมีอาหารเพียงวันละมื้อ ฉันก่อนเที่ยงวัน สิ่งที่พวกเขาครอบครองอันน้อยนิด ประกอบด้วยผ้า 3 ผืน รองเท้าแตะทำด้วยฟางข้าวหรือผ้าและบาตรเท่านั้น พวกเขาโกนผมจนโล้น นุ่งห่มจีวรสีเหลืองและมีลูกประคำสำหรับไว้สวดมนต์ เมื่อไรก็ตามที่เราพบเห็นบุคคลซึ่งมีการแต่งกายลักษณะเช่นนี้ เราจะต้องแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่เหมาะสมเนื่องจากท่านเป็นเครื่องหมายแห่งรัตนะที่ 3 ของเหล่าพุทธศาสนิกชน อย่างไรก็ตามมิได้หมายถึงใครบางคนที่แต่งตัวเป็นภิกษุเช่นนี้เหมือนอย่างเรื่องตัวอย่างที่มีในนิทานสุภาษิตเรื่องมะม่วง 4 ผล
นิทานสุภาษิตเรื่อง มะม่วง 4 ผล
โดยทั่วไปแล้วมะม่วงพันธุ์ต่าง ๆ นั้นสามารถจำแนกเป็น 4 ชนิด ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้จากตลาด
ชนิดแรกเป็นมะม่วงเขียว ที่เป็นทางสีเขียวและเนื้อในไม่สุก
ชนิดที่สองเป็นมะม่วงเหลือง ที่ข้างในเป็นสุกเหลืองแต่เปรี้ยว
ชนิดที่สามเป็นมะม่วง ที่ข้างนอกเขียวแต่ข้างในเหลืองและมีรสชาติหวานอย่างยิ่งเมื่อได้ลิ้มลอง
และชนิดสุดท้ายเป็นชนิดที่ข้างนอกเหลืองด้วย ข้างในก็สุกเหลืองด้วย รสชาติก็หวานด้วยเมื่อได้ลิ้มลอง
พระภิกษุสามารถเปรียบเทียบได้กับมะม่วง 4 ชนิดเหล่านี้
ชนิดแรกของมะม่วง เปรียบได้กับพระสงฆ์ผู้ยังเป็นสามเณร ท่านเหล่านั้นมีประสบการณ์น้อยและยังหนุ่ม
ชนิดที่สองของมะม่วง เปรียบได้กับเหล่าภิกษุผู้ไม่ปฏิบัติตามพระวินัยและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นโลกียวิสัย และดำเนินชีวิตด้วยการค้าขายเลี้ยงชีพ
ชนิดที่สามของมะม่วง เปรียบได้กับเหล่าภิกษุผู้ซึ่งมีปกติเกียจคร้านและให้ความสนใจกับความเกียจคร้านและการเดินเตร่ไปวัน ๆ และใช้เวลาส่วนมากกับการนอน ภิกษุเหล่านี้ปฏิบัติตามกติกาของพวกเขาเองในวิถีทางที่เป็นไปนอกคำสอนและหมกมุ่นอย่างแรงกล้าที่จะสร้างเหตุเช่นนี้
ชนิดที่สี่ของมะม่วง เปรียบได้กับเหล่าภิกษุผู้ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างถูกต้องและเคร่งครัด
ท่านเหล่านั้นดำเนินวิถีชีวิตตามทางแห่งอริยมรรคและเป็นแบบอย่างของผู้ปฏิบัติตามทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม แม้พระสงฆ์จะมีศีรษะโล้นและนุ่งห่มด้วยจีวรสีเหลือง แต่คนที่มีศีรษะโล้นซึ่งนุ่งห่มจีวรสีเหลืองอาจจะไม่ใช่ภิกษุทั้งหมดก็ได้ ทั้งนี้พวกเขาจะเป็นพระสงฆ์หรือเป็นอย่างอื่นกันนั้น เมื่อไรที่เราประสบกับบุคคลเช่นนั้น มีการแต่งกายเช่นนั้น เราจะต้องแสดงความนอบน้อมต่อท่าน การแสดงความนอบน้อมเช่นนั้นเป็นการสื่อถึงเครื่องนุ่มห่มซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนหมู่สงฆ์ มากกว่าที่จะสื่อถึงตัวบุคคลซึ่งประดับตกแต่งตนเช่นนั้น
ในสมัยอดีตอันยาวนาน คนทั้งหลายออกจากเรือนด้วยเหตุผลหลากหลาย บางคนพบว่ามันเป็นการยากที่จะได้อาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่พักอาศัย พวกเขาจึงสังเกตว่า คนที่ออกจากเรือนล้วนเป็นผู้ได้รับการบำรุงเลี้ยงดูอย่างดี ด้วยเหตุดังนั้น พวกเขาจึงออกจากเรือนบ้าง ในที่สุดพวกเขาจึงได้รับการบำรุงเลี้ยงดูเหมือนกันนั้น มีเครื่องนุ่งห่มใส่ และมีที่พักอาศัย อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่มีครอบครัว พวกเขาจึงคิดว่า “ฉันจะได้มีบ้านและมีลูกศิษย์หนุ่ม ๆ ไว้ดูแลในยามที่แก่ชราได้” มีคนอีกบางจำพวกที่ออกจากเรือนเพราะพวกเขาเป็นโจรหรือกำลังหลบหนี การบวชเป็นพระภิกษุ คือทางเลือกหนึ่งสำหรับพวกเขา ทางเลือกนี้เป็นเสมือนที่กำบังให้พวกเขาได้หลบภัยทางกฎหมายเพียงชั่วคราว รวมทั้งอีกประเภทหนึ่งของการบวชเป็นภิกษุ คือ เป็นเด็กถูกละทิ้งเนื่องจากพ่อแม่ยากจน บางทางเลือกหรือสถานการณ์อื่น ๆ คนเหล่านี้เข้ามาบวชเป็นภิกษุด้วยวัตถุประสงค์เพียงเพื่อตัวเอง และมิใช่เพราะความศรัทธา ดังนั้น การเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่อาจก่อให้เกิดปัญหา
ส่วนมากของภิกษุเหล่านั้นเปรียบเสมือนมะม่วงเขียวที่ไม่สุกหรือมะม่วงเหลืองแต่เปรี้ยว พวกเขาจำนวนมากไม่มีความเป็นภิกษุ ยิ่งไปกว่านั้น การมีการแต่งกายเป็นภิกษุสงฆ์เช่นนั้น ทำให้พวกเขาสามารถที่จะมีความสำราญอย่างต่อเนื่อง มีการป้องกันคุ้มครองอย่างดีเหมือนอย่างผู้อยู่ในภิกษุบริษัททั่วไป หลายต่อหลายคนมักดำเนินการค้าขายในท่ามกลางสงฆ์ มีการซื้อขายของใช้ต่าง ๆ ที่ในรูปแบบทางศาสนา รูปแกะสลัก เครื่องรางและสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเสริมเติมส่วนที่ขาดหายไปในการมีชีวิตอยู่มากกว่าที่จะดำเนินตามหลักการเลี้ยงชีพทางศาสนา
อีกอย่างหนึ่ง มีคนบางพวกซึ่งมีความเชื่อที่สับสน ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของเด็กที่ป่วย อาจเชื่อว่าเด็กอาจป่วยตายด้วยโรคระบาดได้ จึงออกจากบ้านของพวกเขาเพื่อนำเด็กไปที่วัด อนุญาตให้เด็กบวชเพื่อความอยู่รอด หนทางนี้ทำให้พวกเขาสามารถพบเห็นเขาได้อย่างต่อเนื่อง แน่นอนล่ะ เป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้เด็กตายด้วยโรคระบาด เนื่องจากความเชื่อที่ผิด ๆ พวกเขาจึงนำเด็กไปวัด คนที่เชื่ออะไรผิด ๆ มิได้เลวร้ายเหมือนอย่างคนที่เชื่อในหลักการที่ผิด คนแรกมีศรัทธา แต่เข้าใจผิดพลาด ในขณะที่คนหลัง ผิดพลาดอย่างงมงาย ยังมีอีก คนบางพวกเป็นผู้ไม่งมงายและมีศรัทธา คนเหล่านั้นศึกษาโพธิสัตวธรรมด้วยความเชื่อมั่น จนกระทั่งพวกเขาเป็นผู้ที่มีความสงสัยน้อย อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่บุคคลจะสิ้นสุด(ความสงสัย)ได้ (แต่)ผู้อยู่ในระหว่างภาวะเช่นนี้ ในที่สุดก็จะสามารถประสบความสำเร็จในการค้นหาอนุตรโพธิญาณได้ ในความเหมือนกันทั้งหมด ผู้บ่มเพาะบารมีธรรมซึ่งประสบความสำเร็จอาจอยู่ในกลุ่มคนจำนวนน้อยมากกว่าในกลุ่มคนจำนวนมาก
ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ บุคคลควรดำเนินตามศีลอย่างมุ่งมั่นโดยปราศจากข้อยกเว้น ในเส้นทางนี้บุคคลย่อมดำรงอยู่ในความบริสุทธิ์ ในที่สุดหนทางนี้ก็จะนำให้ระลึกถึงจิตและธรรมชาติเดิมแท้ของเขา เมื่อจิตของเขาระลึกได้ ธรรมะทุกประการย่อมก่อเกิดและความชั่วย่อมหมดไป ในอีกแง่มุมหนึ่ง จิตที่ไม่มีธรรมะและห่างเหินธรรมะ ย่อมไม่ใช่จิต จิตและธรรมะเป็นอันเดียวกัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่บุคคลจะต้องตระหนักรู้ว่า ห่างธรรมย่อมไม่พบจิต เมื่อใดที่บุคคลระลึกได้ดังนี้ เมื่อนั้นธรรมชาติที่เกิดขึ้นย่อมสามารถทำให้เขาสามารถเข้าใจความเป็นจริงนั้นได้ เป็นความจำเป็นที่ว่า ในการแทงตลอดถึงพีชะ(จิตเดิมแท้) บุคคลควรเข้าใจว่าจิตและธรรมชาติโดยพื้นฐานแล้วไม่มีแก่นสารภาวะที่แท้จริง ทั้งไม่มีรูปแบบหรือปรากฏการณ์ มันเป็นเพียงความว่างเปล่า(ศูนยตา) และเป็นมายา ขั้วที่เป็นการแบ่งแยกก็ไม่มี สรรพสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อใดที่พวกเราสามารถเข้าถึงพระสูตรและผู้ชี้นำที่ดี นั้นหมายถึงว่าเราเป็นผู้มีโชคอย่างยิ่ง พวกเราจะต้องได้เป็นอิสระจากอุปสรรคอันเนื่องด้วยกรรมและการจองเวรอันเนื่องด้วยกรรม เราจักได้มีความสัมพันธ์อย่างแนบสนิท เราจักได้บ่มเพาะกุศลมูลในห้วงเวลาของชีวิตที่ผ่านไป ดังนั้น เราจึงควรหมั่นฝึกฝนตนตามหลักพระศีล สมาธิและปัญญาอย่างจริงจัง และขจัดโลภะ โทสะ และโมหะให้สิ้นไป
สวัสดีครับ
เข้ามาอ่านด้วยความสนใจ
อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
เจริญสุขนะครับ
ขอบคุณค่ะ
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองนะคะ
ดีใจที่ยังมีผู้ใฝ่ใจในธรรมอยู่ ธรรมะสวัสดีครับ
ขอบคุณนะครับ
และขอโทษด้วยนะครับ ยังไม่มีเวลาแปลบทที่เหลือเลยครับ
ตอนนี้งานยุ่งมากๆครับ
โดยเฉพาะต้องเตรียมงานโครงการปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อของแผ่นดิน” ในระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2551 ด้วยครับ
http://gotoknow.org/blog/goodproject/223875
ถ้ามีเวลาจะแปลให้อีกนะครับ