คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
จะต้องให้พูดสักกี่ครั้งว่ารับไม่ได้จริงๆๆ
ลองอ่านช้าช้านะคะ หายใจเข้าออกช้าช้า อย่างมีพลังแห่งความสุข สงบ แล้วลองอ่านทีละประโยค ก่อนตัดสินใจ แล้วค่อยตัดสินใจว่า "หากเราต้องตกอยู่ในสภาพ และสถานการณ์นี้ เราจะอธิบายปรากฏการณ์และมีท่าทีต่อมันอย่างไร"
เรื่องมีอยู่ว่า "วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังจะไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะหน้าปากซอย
ฉันเดินไปพบชายหนุ่มคนสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่หน้าตู้โทรศัพท์
คนนึงเป็นน้องชายที่ฉันรู้จักดีชื่อน้องคิม กำลังยืนจับแขนเจ้าหนุ่มแปลกหน้าอีกคน ที่ถือแท่งเหล็กบางบางและยืนโดยขาข้างหนึ่งอยู่ข้างในตู้โทรศัพท์
สอบถามได้ความว่า น้องคิมนั้นเดินมาพบเจ้าหนุ่มแปลกหน้ากำลังใช้เหล็กบางๆ เขี่ยเอาเหรียญจากเครื่องโทรศัพท์สาธารณะ น้องคิมเข้ามาต่อว่า แต่เจ้าหนุ่มแปลกหน้านั้นกลับตั้งหน้าตั้งตาแงะเหรียญจากตู้โดยไม่สนใจ น้องคิมเลยเข้าไปกระชากตัวเขาออกจากตู้โทรศัพท์ และมีปากเสียงกัน
เจ้าหนุ่มแปลกหน้าก็อ้างว่าในเมื่อตู้นี้เป็นตู้สาธารณะและเขาก็เป็นประชาชนคนหนึ่งในประเทศนี้ เขาก็ย่อมจะใช้สิทธิ์ในของสาธารณะของประเทศ และเชื่อว่าเขาไม่ผิด เพราะเงินในตู้นี้ก็ควรจะเป็นสิทธิสาธารณะ
น้องคิมไม่ยอม พยายามอธิบายเรื่องผลประโยชน์ของรัฐ สิทธิ์ส่วนบุคคล และหน้าที่พลเมือง
อธิบายเท่าไร เจ้าหนุ่มแปลกหน้าก็ไม่สนใจ ตั้งหน้าตั้งตาแงะเหรียญใหญ่เลย
หันไปข้างหลังคนเริ่มต่อคิวกันยาวเหยียดรอคิวโทรศัพท์ที่ตู้นี้ แต่ละคนวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา
บ้างว่าเจ้าหนุ่มแปลกหน้าผิด เพราะเป็นขโมย บ้างว่าคิมผิดที่เริ่มหาเรื่องก่อน
แต่หลายคนที่เห็นตรงกันว่า "คนสองคนทะเลาะกันเพราะขัดผลประโยชน์" แล้วก็เดินจากไปอย่างไม่แยแส ปล่อยให้คนสองคนทะเลาะและหาทางออกเอาเอง
ฉันผู้อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น เห็นว่าคิมกำลังทำอะไรอยู่ และเห็นว่าหนุมแปลกหน้าผิด จึงไม่อาจอธิบายว่า "ทั้งสองคนทะเลาะกันเพราะขัดผลประโยชน์"
ด้วยอันที่จริง น้องคิมจะหลับหูหลับตาเดินผ่าน “การแงะตู้” ครั้งนี้ไปเสียก็ได้ อย่างที่ผู้ใหญ่หลายๆคนพากันสอนลูกหลานของตัวเอง ให้เอาหูเอานาเอาตาไปไล่ เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
แต่คิมก็หยุดอยู่เพื่อที่จะเอาภาระแทนสังคม แต่กลับมองว่า “ใช้ความรุนแรงและทะเลาะเพื่อผลประโยชน์ของตน”
ฉันทำให้คิม มีคุณค่าเท่ากับ เด็กที่พยายามขโมยเงินเหรียญจากตู้ ไม่ได้
ในเมื่อฉันรู้ฉันเห็นมากกว่าคนอื่นๆ ฉันจำเป็นต้องอธิบาย และยืนหยัดอยู่ข้างคิม คิมคนที่กล้าหาญที่จะยืนอยู่ข้างความถูกต้อง
บ้านเมืองก็เหมือนตู้โทรศัพท์ เหตุการณ์ในบ้านเมืองตอนนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งแงะตู้โทรศัพท์ คำถามคือ เราใจร้ายพอที่จะปล่อยให้คนอย่างคิม ถูกทำให้เข้าใจผิดว่า “กำลังทะเลาะกับคนแงะตู้ เพราะขัดผลประโยชน์ได้อย่างไร” เราจะบอกว่า “เรายืนอยู่ตรงกลาง” ในภาวะการณ์แบบนี้ได้อย่างไร
ท่านนักวิชาการทั้งหลาย อย่าปล่อยให้สังคมสับสนเพราะคนมีความรู้อย่างท่าน นำพา ชี้นำว่า โลกควรอยู่ตรงกลางเลยค่ะ เพราะทุกวันนี้มันเอียงไปข้างความชั่วมากกว่าจะดุล มาให้มันอยู่ฟากความดีเสียแล้ว
ช่วยทำให้สังคมตาสว่าง ใจสว่างกันเถอะค่ะ ท่านนักวิชาการผู้มีความรู้และมีโอกาสเข้าถึงความรู้ในสถาบันมากกว่าชาวบ้าน ชาวนา
บรรทัดฐานของประเทศไทย กำลังเปลี่ยนไป และแย่ลงเรื่อย ๆ ครับ ... มันน่าอึดอัดใจ
ขอให้กำลังใจครับ :)
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
คนที่จากไปไม่ใช่คนอ่อนแอค่ะ แต่รับไม่ได้ เข้าใจไหม
จะต้องให้พูดสักกี่ครั้งว่ารับไม่ได้จริงๆๆ
น้องคิมเป็นคนดีที่ไม่นิ่งดูดาย พอๆกับ คุณดอกไม้น้อยก็มีความดีไม่น้อยไปกว่า ....แต่ทว่าคูณทั้งสองจะกลายเป็นคนชั่วพอๆกับเจาคนงัดเงินในต้โทรศัพท์.... นักการเมืองเลว ๆ จึงสอนเราให้ร้ว่า การชิงชัยที่สำคัญคือต้องได้มวลชล โดยใช้สื่อ
ผมว่าน้องคิน ซื่อดี ตรงไปตรงมา ฉลาดแต่ไม่เฉลียว (ฉลาดน้อย) แล้วก็ต้องกลายเป็นแพะรับบาปแน่ ๆ มิหนำซ้ำ คุณดอกไม้น้อยก็ต้องตกเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วย คนร้ายตัวจริงคงต้องลอยนวลไปตามเคย ....
จงใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง สามบ่วง สองเงิ่อนไข ๑ ความพอประมาณ คือต้องร้สถานภาพกำลังของตัวเองก่อน ๒. ความมีเหตุผล คือ ต้องมั่นใจว่าสิ่งที่จะทำต่อไปนี้ด้วยวิธีการใดก็ตามจะหยุดยั้งเขาได้และปลอดภัย ๓ . การมีภูมิค้มกัน คือ ต้องปกป้องตนเองให้ผ้อื่นเข้าใจเราในทางที่ถูกได้ว่าเราดีจริง ๆ ๔ เงื่อไข ความรู้ คือ ใช้ความร้ประสบการณ์ทักษะที่ตนเองมีให้เป็นประโยชน์อย่างมีสติ และ ๕ เงื่อนไข คุณธรรม คือ ใช้หลักธรรม คำสอนในพุทธศาสนามาเป็นข้อยึดเหนี่ยว ในที่นี้คือ ความประมาทเป็นบ่เกิดแห่งความตาย .กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตอบสนอง .ฯลฯ